สามชุกกับรางวัลจากยูเนสโก: ความสำเร็จบนทางแพร่ง
นายกรัฐมนตรีเดินทางไปตลาดสามชุกเพื่อทำพิธีมอบรางวัลอย่างเป็นทางการ
ปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ได้รับข่าวน่ายินดีว่า สามชุก ตลาดเก่าร้อยปี ได้รับรางวัล โครงการอนุรักษ์ชุมชนสามชุกและตลาดเก่าร้อยปี ชนะรางวัลดี (Award of Merit) จากการประกวดรางวัลเพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากองค์การยูเนสโก โดยมีผู้ส่งผลงาน ๔๘ โครงการ จาก ๑๔ ประเทศ รางวัลดังกล่าวถือเป็นกำลังใจแก่คนทำงานพัฒนาพื้นที่สามชุก
แม่น้ำสุพรรณ ทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาความแออัดของพื้นที่ตลาด หากมีการกระจายแหล่งท่องเที่ยวให้อยู่ทั้ง ๒ ฝั่งแม่น้ำ
เมื่อราวร้อยกว่าปีก่อน ครั้งที่ถนนหนทางยังมาไม่ถึงและไม่เป็นที่นิยม แม่น้ำสุพรรณบุรีหรือแม่น้ำท่าจีนคือเส้นทางเดินทางสายหลักในแถบตะวันตกของภาคกลาง เปรียบเสมือนประตูเชื่อมตลาดสามชุกกับพื้นที่ต่างๆ ทั้งใกล้และไกล เป็นศูนย์กลางการค้าขายและการขนส่งสินค้าที่ชาวกะเหรี่ยง ลาว ละว้า และคนทางเหนือ นำสินค้าของป่า เช่น ฝ้าย หนังสัตว์ น้ำมันยาง น้ำผึ้ง สมุนไพร และแร่ ขนเป็นกองคาราวานมาขายยังสามชุกให้พ่อค้าในตลาดขายและขนส่งล่องลงไปยังกรุงเทพฯต่อไป พร้อมกันนั้นยังได้ทำการซื้อและแลกเปลี่ยนสินค้าจำพวกข้าวสาร เกลือ ปูน และของใช้ที่จำเป็นกลับไปยังชุมชนด้วย ท่าเรือและตลาดสามชุกจึงเจริญรุ่งเรือง คึกคักไปด้วยสินค้าและผู้คน พ่อค้าแม่ขายมีทั้งไทย จีน มอญ และอีกหลากหลายชาติพันธุ์ แต่ที่เห็นจะมีเป็นจำนวนมากสืบมาจนปัจจุบันคือชาวจีน
ประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๐ ความเจริญทางถนนเข้ามาก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับ การค้าริมน้ำลดความสำคัญ ตลาดสามชุกเริ่มซบเซา สภาพอาคารร้านค้าทรุดโทรมตามกาลเวลา
และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาชาวสามชุกจำนวนหนึ่งที่ยังคงเห็นถึงความสำคัญของตลาดไม่อยากให้กลายเป็นตลาดติดแอร์หรือปรับสภาพตลาดเดิม จึงหันหน้ามาร่วมมือกันฟื้นตลาดสามชุกเดิมให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมคงรูปแบบอาคารและสถาปัตยกรรมแบบเดิมให้มากที่สุดจึงเกิดขึ้น
การฟื้นตลาดสามชุก เริ่มจากจัดระเบียบตลาด ทำความสะอาดและจัดระเบียบหน้าบ้านของตนเองให้เข้าที่เข้าทาง ทำให้สภาพตลาดโดยรอบสะอาดและดูดีขึ้น จากนั้นคณะทำงานจึงทำการฟื้นฟูอาหารดั้งเดิมของชุมชน ทำทางเดินริมน้ำ ปรับปรุงอาคารให้สวยงาม เพราะลักษณะสถาปัตยกรรมบ้านที่ตลาดสามชุกจะติดกันทุกหลังคา จัดทำพิพิธภัณฑ์ขุนจำนงจีนารักษ์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าของบ้านและวิถีชีวิตชาวสามชุก เป็นต้น
การดำเนินงานของชาวสามชุกเริ่มจากไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหน ทำแบบลองผิดลองถูก แต่ก็มีการพูดคุย ประสานงานกันบ่อยครั้งของคนภายในชุมชนที่เป็นชาวบ้าน โรงเรียน วัด และกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลือจากภายนอก จึงทำให้ตลาดสามชุกกลับมามีชีวิตชีวา เมื่อส่งประกวดจึงได้รับรางวัลจาก UNESCO ประจำปีนี้
การเปิดเวทีประชาคม ในหัวข้อ “บทบาทของชุมชนในการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน” เนื่องในโอกาสรับมอบรางวัลยูเนสโก [UNESCO] เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา เวทีดังกล่าวเท้าความถึงกระบวนการเกิดและการจัดการตั้งแต่แรกเริ่มของตลาดสามชุก มีการแลกเปลี่ยนทัศนคติร่วมกันของชุมชนต่างๆ
ข้อที่น่านำมาขบคิดคือ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ได้กล่าวถึงสภาพของสามชุกว่า
“สามชุกกำลังเผชิญปัญหาใหม่ คือเป็นตลาดท้องถิ่นที่จะพังไม่พังแหล่ เกิดความแออัด เกินจะรองรับ จนกระทั่งท้องถิ่นไม่สามารถควบคุมได้”
เพราะตลาดสามชุกต้องเผชิญแรงกดดันและถูกรุกเร้าจากข้างนอกไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวหรือพ่อค้าต่างถิ่น หากรปล่อยให้มีการขยายพื้นที่กว้างกว่านี้ ตลาดสามชุกอาจจะพังเพราะควบคุมไม่ได้แล้ว โดยได้เสนอแนะทางออกคือ การสร้างเครือข่ายตลาดให้กระจายไปทั้งเมืองสุพรรณบุรี เช่น ตลาดเก้าห้อง, ตลาดศรีประจัน ฯลฯ รวมถึง ตลอด ๒ ฟากฝั่งน้ำสุพรรณบุรี โดยใช้ตลาดสามชุกเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ เน้นความสำเร็จที่เกิดจากการจัดการประวัติศาสตร์ท้องถิ่นด้วยตนเองจนเกิดสำนึกร่วมของชุมชน เป็นการรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ เมื่อครั้งอดีตเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนสุพรรณบุรีและชุมชนริมฝั่งน้ำด้วย
คนสามชุกจึงมาถึงทางแพร่งแห่งความสำเร็จที่ท้าทายว่าจะทำให้เกิดความสำเร็จหรือล้มเหลวในอนาคต หากไม่สามารถควบคุมความใหญ่โตและแออัดของตลาดดังเช่นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ได้
ข่าวกิจกรรม ความเคลื่อนไหว :จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ฉบับที่ ๘๒ (มกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓)