แผนที่แสดงเส้นทางข้ามคาบสมุทรยุคโบราณมาเลย์-สยาม
บริเวณแผ่นดินของคาบสมุทรมาเลย์-สยามตั้งแต่โบราณกีดขวางการเดินทางระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก อันหมายถึงผู้คนทางฝั่งอินเดียที่เชื่อมต่อกับอาหรับ เปอร์เซีย และโรมันทางฝั่งตะวันตกกับจีนแผ่นดินใหญ่ทางฝั่งตะวันออก การเดินทางระยะไกลข้ามทวีปในช่วงแรกเริ่มเหล่านี้มนุษย์ล้วนแต่ใช้เรือเป็นพาหนะเดินทางต้องแล่นเรืออ้อมช่องแคบมะละกาที่มีขนาดเล็กหรือเดินทางบกข้ามคาบสมุทรมาเลย์-สยามในหลายช่องทาง
ในยุคหนึ่งช่องแคบมะละกามีปัญหาโจรสลัดชุกชุมและการเดินทางที่อ้อมแหลมใช้เวลานาน ตลอดจนปัญหาเรื่องเวลาที่ต้องพึ่งพาลมมรสุม จึงมีความนิยมขนส่งสินค้าหรือเดินทางข้ามคาบสมุทรจนทำให้เกิดบ้านเมืองชุมชนใหญ่น้อยที่ต้นทาง กลางทาง และปลายทางขึ้นหลายแห่ง
ปรากฏหลักฐานโบราณคดีบริเวณเส้นทางข้ามคาบสมุทรหลายเส้นทางตั้งแต่บริเวณตอนต้นตั้งแต่มะริดะกุยบุรีและเพชรบุรี กระบุรี-ชุมพร ตะกั่วป่าและกระบี่ะอ่าวบ้านดอนและนครศรีธรรมราชตรังะพัทลุง เคดาห์หรือไทรบุรีะสงขลา และเคดาห์ะปัตตานี เป็นต้น ต่อมาเส้นทางเหล่านี้ถูกลดความสำคัญจากเส้นทางข้ามคาบสมุทรเป็นเส้นทางที่ใช้ในท้องถิ่นเนื่องจากการเดินเรือนั้นสามารถเดินเรือผ่านช่องแคบได้สะดวกกว่าในอดีต จึงไม่มีความจำเป็นต้องขนถ่ายสินค้าขึ้นบกอีกต่อไป
และเส้นทางสำคัญจากเคดาห์ในมาเลเซียสู่ยะรังและปาตานี ซึ่งมีการพบกลุ่มเมืองโบราณสำคัญ ๓ กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มเมืองโบราณที่ ยะรัง ปรากฏเมือง ๓ เมือง ได้แก่ บ้านวัด บ้านจาเละ และปราแว
2.กลุ่มเมืองบริเวณเขาหน้าถ้ำ ที่ยะลา
3.กลุ่มเมืองบริเวณปากแม่น้ำเมอบก บริเวณหุบเขาบูจังหรือหุบเขาแม่ม่ายซึ่งอยู่ในบริเวณเคดาห์
กลุ่มเมืองทั้งสามแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการทำให้การติดต่อระหว่างจีนและอินเดียดำเนินไปได้โดยสะดวกโดยมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ซึ่งเป็นช่วงที่การค้าระหว่าง ตะวันออกกลาง อินเดีย และจีนเติบโตเป็นอย่างมาก กลุ่มเมืองดังกล่าวมีศูนย์กลางของบ้านเมืองขนาดใหญ่ที่เมืองโบราณยะรังซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็น "ลังกาสุกะ" เมืองสำคัญในเอกสารโบราณ
บทบาทของกลุ่มเมืองยะรังในขณะนั้นคือ เป็นเมืองการค้าที่เป็นเมืองท่าภายใน [Entrepot] ตั้งอยู่ห่างจากอ่าวปัตตานีราว ๑๖-๑๗ กิโลเมตร ร่องรอยที่ปรากฏคือคูน้ำคันดินของเมืองขนาดใหญ่และเล็ก ๓ แห่งเรียงจากทิศใต้ขยายไปยังทิศเหนือ ได้แก่ บ้านวัด บ้านจาเละ และบ้านปราแว
เหตุผลที่เมืองท่ายะรังอยู่ห่างจากชายฝั่งลึกเข้ามาในแผ่นดินถึง ๑๖-๑๗ กิโลเมตรนั้น เนื่องจากบ้านเมืองแรกเริ่มมักตั้งถิ่นฐานห่างไกลชายฝั่งทะเลเป็นระยะทางที่เหมาะสม ไม่ไกลและใกล้เกินไปจากเหตุผลการทำเกษตรกรรมที่จำเป็นต้องมีที่ราบและน้ำจืดเพื่อสะดวกแก่การเดินทางทั้งจากบ้านเมืองภายในแผ่นดินและภายนอก โดยรูปแบบการตั้งเมืองเช่นนี้ปรากฏในยุคสมัยเดียวกับบริเวณอื่นๆ เช่น เมืองนครปฐมโบราณ เมืองอู่ทอง เมืองคูบัว ฯลฯ
ปรากฏหลักฐานว่าเมืองปราแวในกลุ่มเมืองยะรังนี้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยจนถึงยุคสมัยของรายากูนิง เมื่อย้ายบ้านเมืองมาตั้งอยู่ที่ริมฝั่งทะเลแล้วและแม้กระทั่งเปลี่ยนมาเป็นยุคแบ่งออกเป็น ๗ หัวเมืองแล้วก็ยังคงมีผู้คนอาศัยอยู่เรื่อยมา
กลุ่มเมืองโบราณที่ยะรังนี้มีการค้นพบเส้นทางน้ำภายในหลายเส้นทาง และมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด เนื่องจากระยะทางจากภูเขาในเขตยะลาจนถึงปากน้ำปัตตานีมีระยะทางไม่เกิน ๓๐ กิโลเมตร อันเป็นระยะทางไม่ไกลนัก ทำให้เส้นทางน้ำเปลี่ยนแปลงโดยง่ายเมื่อมีการจัดการน้ำในรูปแบบทำนบหรือเขื่อนขนาดเล็กในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เช่น ในสมัยของรายาฮิเยาก็มีการบันทึกว่ามีการทำทำนบกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม ซึ่งภายหลังจากการสิ้นพระชนม์แล้วก็มีการรื้อออกเนื่องจากสร้างปัญหาในการทำนาเกลือ โดยทำนบโบราณนั้นคงมีปรากฏร่องรอยให้เห็นถึงปัจจุบัน
โบราณวัตถุที่สำคัญที่พบในกลุ่มเมืองยะรังนี้ พบวัตถุโบราณเกี่ยวกับศาสนาพุทธมหายาน เช่น สถูปจำลองต่างๆ โบราณวัตถุของศาสนาฮินดู ได้แก่ โคนนทิและศิวลึงค์ในรูปแบบมุขลึงค์ แสดงให้เห็นถึงการได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพุทธแบบมหายานด้วย
กลุ่มเมืองบริเวณถ้ำคูหาภิมุข ที่ยะลา เป็นพื้นที่ภูเขาหินปูนซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนผ่านการเดินทางจากน้ำเป็นบกหรือเข้าเขตภูเขาจากเรือที่ล่องเข้ามายังแม่น้ำปัตตานี ถ่ายสินค้าหรือเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางขึ้นเขาโดยมีช้างเป็นพาหนะและเดินทางสู่ปากอ่าวอีกริมฝั่งทะเลหนึ่งเพื่อล่องเรือต่อ ในเขตถ้ำคูหาภิมุขนี้ ได้พบพระพิมพ์ดินดิบจำนวนมาก โดยรูปแบบของพระพิมพ์เป็นพระพุทธรูปประทับบนปัทมอาสน์ ซึ่งเป็นแบบมหายาน และยังค้นพบพระพิมพ์รูปแบบเดียวกันนี้ที่เคดาห์ ซึ่งสามารถแสดงถึงความร่วมสมัยและความเกี่ยวโยงกันได้อย่างชัดเจน
เส้นทางข้ามคาบสมุทรบริเวณบ้านเมืองจากฝั่งเคดาห์ ลังกาสุกะ และปาตานี
กลุ่มเมืองบริเวณหุบเขาบูจังที่เคดาห์นี้ มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบสำหรับทำการเกษตร โบราณวัตถุที่พบในเขตนี้เป็นจารึกสำคัญ คือ "จารึกมหานาวิกะ พุทธคุปต์" อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ซึ่งมีอายุรุ่นก่อนเมืองโบราณที่ยะรัง อีกทั้งปรากฏศาสนสถานของชาวฮินดูที่เรียกว่า "จันทิ" [Chandi]
จำนวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มพ่อค้าจากอินเดียในช่วงเวลาร่วมสมัยและภายหลังจากเมืองโบราณที่ยะรังเจริญถึงขั้นสูงสุดแล้ว
จากข้อมูลทางโบราณคดีดังกล่าว ทำให้เห็นว่า กลุ่มเมืองทั้งสาม ต่างได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธมหายานซึ่งมีความร่วมสมัยกับศรีวิชัย และเห็นพ้องกับแนวคิดที่ว่า ศรีวิชัยไม่มีศูนย์กลางอย่างชัดเจน แต่เป็น "สหพันธรัฐเมืองท่า" [Port Politics] ที่ปรับตัวตามความเหมาะสม มีศูนย์กลางหลายแห่ง และเคลื่อนย้ายไปตามช่วงเวลา
การที่เมืองเริ่มย้ายตัวออกมาสู่บริเวณปากแม่น้ำในเวลาต่อมา ว่าเป็นเหตุผลของพัฒนาการด้านการค้ากับชาวตะวันตกเพื่อย่นระยะเวลาและเพิ่มความคล่องตัวในการติดต่อค้าขายที่มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ศาสนาอิสลามเผยแผ่สู่ท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
(ภาพซ้าย) แผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งเมืองโบราณที่ยะรัง แม่น้ำ และอ่าวปัตตานี
(ภาพขวา) แผนผังบริเวณที่ตั้งกลุ่มเมืองโบราณที่ยะรังที่สันนิษฐานว่าน่าจะหมายถึง รัฐลังกาสุกะ
พระพิมพ์แบบมหายานดินดิบพบที่ถ้ำคูหาภิมุข จังหวัดยะลา
ต่วนลือบะห์ ลงรายา (หลวงรายาภักดี) บุตรเจ้าเมืองรามันผู้ถูกเรียกไปที่กรุงเทพฯ และหายสาบสูญไป
ตันปุ่ย หรือหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง ต้นตระกูลคณานุรักษ์
เมืองปัตตานีเป็นเมืองที่มีบทบาทสำคัญมาก เนื่องจากมีแม่น้ำปัตตานีเชื่อมต่อถึงปากอ่าวที่มีภูมิประเทศกำบังลมได้และมีความปลอดภัยจากลมมรสุม อีกทั้งยังมีพื้นที่ราบลุ่มกว้างขวางเหมาะแก่การเพาะปลูก โดยสินค้าที่สำคัญของปัตตานีคือ เกลือ และสินค้าของป่า, พวกแร่ธาตุ และช้าง ทำให้เมืองปัตตานีมีบทบาทเป็นเมืองท่าที่สำคัญกับทั้งตะวันตกและพ่อค้าตะวันออก
แม้ในยุคที่ตะวันตกเข้ามาทำการค้าโดยตรงปัตตานีก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะเมืองท่าตลอดมา เนื่องจากมีการค้นพบเครื่องถ้วยของดัตช์ในปัตตานีจำนวนมาก จึงเป็นหลักฐานแสดงความเชื่อมโยงระหว่างปัตตานีและชาวตะวันตกและความเป็นเมืองท่าสำคัญในภูมิภาคนี้ได้เป็นอย่างดี
เรื่องราวการเข้ามาของศาสนาอิสลามในดินแดนแถบคาบสมุทรมลายูนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีหลายแนวคิด โดยอ้างถึงบทความเรื่อง "สังเขปประวัติศาสตร์ปัตตานี" ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ว่าการเผยแผ่ศาสนาอิสลามจะเผยแผ่สู่ชาวบ้านโดยผ่านโต๊ะครูเป็นหลักซึ่งเป็นการเผยแผ่สู่ฐานที่กว้างที่สุด โดยมีลักษณะที่ต่างจากการเผยแผ่ศาสนาฮินดูและพุทธ ซึ่งจะเริ่มที่ชนชั้นปกครองเป็นกลุ่มแรกที่เริ่มรับศาสนาและสร้างศาสนสถาน อุปถัมภ์นักบวช ทำให้ศาสนาอิสลามมีความมั่นคงเนื่องจากเกิดขึ้นมาจากฐานของประชาชนจำนวนมาก นิธิ เอียวศรีวงศ์ยังเสนอต่ออีกว่า กลุ่มอิสลามที่เข้ามาน่าจะเป็นนิกายซูฟี เนื่องจากนิกายนี้เชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษ ทำให้ปรับตัวเข้ากับแนวคิด Animism ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างไม่ยากนัก
อีกทั้งมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อว่า การเข้ามาของมุสลิมอาจเข้ามาพร้อมกับ เจิ้งเหอ ขันทีชาวมุสลิมจากกวางตุ้ง ในรัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ ราชวงศ์หมิง ที่เป็นแม่ทัพนำกองเรือออกสู่ดินแดนโพ้นทะเล เนื่องจากมีความร่วมสมัยกับรัชสมัยของเจ้าชายปรเมศวรผู้สถาปนามะละกาด้วย
ปัตตานีในยุครัฐรายามีความเป็นปึกแผ่นและรุ่งเรืองมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง เช่น การให้ความสำคัญกับสตรีโดยสังเกตได้จากผู้ปกครองมีจำนวนหลายพระองค์ที่เป็นอิสตรีเรื่องราวของช้างในปัตตานีมีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ขนส่งสินค้าซึ่งจำเป็นอย่างมากในยุคนั้น แม้ขบวนเสด็จก็ยังปรากฏรูปช้างในขบวนด้วย
รูปแบบของเมืองในคาบสมุทรนั้นทั้งในเคดาห์ ปัตตานี และมะละกามีลักษณะไม่ยืนยาว เปลี่ยนแปลงไปตามปัญหาการเมืองภายในและภายนอกของผู้ปกครอง อีกทั้งปัตตานีนั้น เป็นเมืองที่อยู่ท่ามกลาง ๒ ภูมิวัฒนธรรม คือ สยามและมลายู โดยตอนแรกปัตตานีอยู่ภายใต้การปกครองของนครศรีธรรมราช ต่อมาตกอยู่ใต้อำนาจของสงขลา จนเข้าสู่การแบ่งเป็น ๗ หัวเมือง ทำให้ปัตตานีและสยาม เข้าใจบทบาทของตนไม่ตรงกัน กล่าวคือปัตตานีเข้าใจว่าตนเองดำรงสถานะรัฐสุลต่าน [Sultaness] โดยตลอด ในขณะที่สยามมองปัตตานีว่าเป็นรัฐเมืองในอารักขาที่ต้องส่งบุหงามาศ
และมีบ้านเมืองที่มีบทบาทสำคัญภายในคาบสมุทรที่ดูเหมือนจะหล่นหายไปในประวัติศาสตร์ในช่วงที่ปาตานีถูกแบ่งออกเป็น ๗ หัวเมืองแล้ว (ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ รัชกาลที่ ๑ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์) และอยู่ในเส้นทางข้ามคาบสมุทรแต่โบราณที่ยังคงใช้ประโยชน์จากเส้นทางเชื่อมต่อและทรัพยากรธรรมชาติในแผ่นดินทั้งของป่าและเหมืองแร่มาอย่างต่อเนื่อง คือ "เมืองรามัน" ซึ่งเป็นเมืองภายในแผ่นดินที่ไม่มีพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเล
การแยกหัวเมืองจากศูนย์กลางริมชายฝั่งทะเลทำให้เกิดเมืองภายใน เช่น ที่เมืองยาลอซึ่งเป็นจุดเริ่มการเดินทางจากพื้นที่ราบเป็นที่สูงใกล้ฝั่งน้ำปัตตานี เมืองระแงะที่ตันหยงมัสซึ่งอยู่กึ่งกลางของที่ราบระหว่างเชิงเขาบูโดและสันกาลาคีรีที่ยังไม่เคยมีหัวเมืองสำคัญใดตั้งขึ้นมาก่อน
และเมืองรามันที่อยู่เชิงเขาใกล้กับลำน้ำสายบุรี ซึ่งต่อมากลายเป็นเมืองที่ถูกกล่าวขานและถูกจดจำจากผู้คนในท้องถิ่นกลายเป็นตำนานเรื่องราวต่างๆ จนทำให้เห็นภาพพจน์ว่าเมืองรามันในยุครุ่งเรืองนั้นมีอาณาเขตใหญ่โต เป็นต้นกำเนิดประเพณีและการละเล่นในราชสำนักมลายูแบบโบราณหลายเรื่องรวมทั้งมีผู้นำซึ่งผูกพันและใกล้ชิดกับชาวบ้านในหลายท้องถิ่นในการควบคุมแรงงานเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากทรัพยากร เช่น ช้างป่า การเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้งาน เช่น ม้า วัว ควาย การทำนาแบบทดน้ำและการทำเหมืองแร่ดีบุก
เจ้าเมืองรามันตั้งแต่แรกเริ่มตั้งเมืองจนถึงท่านสุดท้ายสามารถคุมอำนาจในการดูแลและทำเหมืองแร่ดีบุก ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในระยะนั้น ทำให้เจ้าเมืองมีฐานะและอำนาจจนมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าเมืองรามันทั้งเรื่องไปเที่ยวจับช้างป่าหรือออกรบกับเมืองไทรบุรีหรือส่งคนไปควบคุมการปลูกข้าวปรากฏตามท้องถิ่นต่างๆ ในแถบเทือกเขาบูโดและไกลไปจนข้ามสันปันน้ำในฝั่งรัฐเประของมาเลเซีย
เมืองรามันซึ่งมีเขตแดนกว้างไกลและบางครั้งไม่สามารถตกลงในเรื่องขอบเขตของผลประโยชน์และเหมืองแร่ดีบุกกับรัฐเประทางเหนือเพราะเมืองรามันถือเอาดินแดนที่อยู่เลยสันปันน้ำเข้าไปในดินแดนของเประเสมอ เนื่องจากเป็นพื้นที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ดีบุกและสามารถส่งแร่ไปทางลำน้ำมูดาออกสู่ชายฝั่งทะเลฝั่งอันดามันได้สะดวกกว่า และรัฐปาตานีแต่เดิมก็ถือว่าเขตแดนที่เป็นบริเวณเหมืองดังกล่าวนั้นเคยอยู่ในดินแดนปาตานีซึ่งเมืองรามันก็ถือตามนั้น และยังไม่กำหนดใช้เส้นเขตแดนแบบรัฐสมัยใหม่หรือรัฐอาณานิคมที่ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นกำหนดขอบเขตของบ้านเมือง
เหมืองแร่ทางเขตสันปันน้ำฝั่งเประ คือ เกลียนอินตัน บริเวณที่เรียกว่า ฮูลูเประ ในปัจจุบัน เหตุที่ตั้งชื่อเช่นนี้ก็เพราะมีตัวแทนของเมืองรามันที่ไปคุมการขุดแร่ดีบุกที่นั่นชื่อ วันฮีตัม ผู้คนจึงเรียกว่าเกลียนวันฮีตัม หมายถึงเหมืองของวันฮีตัม คำว่า ฮีตัม แปลว่า ดำแต่เพื่อให้มีความหมายที่ดีจึงเปลี่ยนมาเป็น เกลียนอินตัน ซึ่งแปลว่าเหมืองเพชร
กล่าวกันว่าเจ้าเมืองรามันซึ่งมีเชื้อสายเป็นญาติกับเจ้าเมืองทางปัตตานีและยาลอมักไปดูเหมืองแร่บ่อยๆ เวลาไปแต่ละครั้งจะมีช้างหลายร้อยเชือก บางครั้งถึง ๓๐๐ เชือกก็มี จึงไม่มีที่อาบน้ำให้ช้าง วันฮีตันในฐานะเป็นตัวแทนของเจ้าเมืองรามันจึงได้ทำทำนบ เพื่อขังน้ำสำหรับให้เป็นที่ช้างอาบน้ำ จึงเรียกว่า ทำนบวันฮีตัน
หลังจากเกิดการขัดแย้งต่อต้านรัฐสยาม ต่วนมันโซร์ หรือ ต่วนโต๊ะนิ หรือสำเนียงท้องถิ่นว่าตูแวมาโซ เป็นเจ้าเมืองต่อไป และรายได้สำคัญที่สร้างความร่ำรวยให้แก่เจ้าเมืองรามันในขณะนั้นคือ "ดีบุก" โดยเฉพาะเหมืองแร่ที่ เกลียนอินตัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตรัฐเประ
ผลประโยชน์จากแร่ดีบุกนี่เองทำให้เมืองรามันกับเประวิวาทกันจนถึงรบราฆ่าฟันเพราะสุลต่านเประส่งทหารไปยึดค่ายกูบูกาแปะห์ เกลียนอินตัน และกัวลากปายัง ต่วนโต๊ะนิ เจ้าเมืองรามันจึงเตรียมพลพรรคเพื่อยึดค่ายและเหมืองแร่ มีแต่กัวลากปายังที่ยึดไม่ได้เพราะกำลังทหารจากเประมีมาก แต่เมื่อยึดภาคเหนือของเประที่ฮูลูเประได้แล้ว เจ้าเมืองรามันก็ถอยกลับโดยตั้งลูกสาวชื่อว่า โต๊ะนังซีกุวัต เป็นผู้คุมเหมืองที่เกลียนอินตันและโกระ ในราว พ.ศ. ๒๓๗๙
เมื่อ ต่วนโต๊ะนิ เจ้าเมืองรามันสิ้นชีวิต ศพของท่านถูกฝังไว้ที่โกตาบารู มีตำนานเกี่ยวกับโต๊ะนิปรากฏตามท้องถิ่นต่างๆ ถือเป็นกุโบร์ศักดิ์สิทธิ์ของคนในหลายท้องถิ่นและหลายชาติพันธุ์ทั้งไทยจีนและมลายูซึ่งมีอยู่ ๓ แห่ง คือที่โกตาบารู ที่เบตง และที่โกระในฝั่งเประ
เจ้าเมืองรามันผู้นี้มีเรื่องเล่าลือสืบต่อกันมามากมาย เช่น โต๊ะนิ เลี้ยงช้างหลายร้อยเชือกและเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องช้าง ขนาดช้างตกมันยังไม่กล้าทำร้ายและยังขึ้นไปขี่ได้อีก วิชานี้ถ่ายทอดไปถึงเจ้าเมืองระแงะคนสุดท้าย กล่าวกันว่าถ้าช้างป่าเข้าไปทำลายไร่สวนของผู้ใด ถ้านึกถึงโต๊ะนิแล้วช้างป่าโขลงนั้นจะไม่ทำลายไร่หรือสวนนั้นอีกเลย
เป็นเวลากว่า ๑๐ ปีที่เมืองรามันมีอำนาจเหนือฮูลูเประต่อมาทางเประพยายามยึดคืนก็ไม่ได้ เมืองรามันสามารถป้องกันแต่ก็มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากปรากฏเป็นกุโบร์ของทหารทั้งสองฝ่ายที่เขตต่อแดนระหว่างเมืองเประและรามันบริเวณใกล้ชายแดนในอำเภอเบตงในปัจจุบัน
ซึ่งนักเดินทางชาวอังกฤษก็บันทึกถึงการเดินทางที่ผ่านกูโบร์ของนักรบจากสงครามที่ถูกจดจำได้ตลอดมา จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฝ่ายเประไม่ได้ส่งคนไปรบกวนอีก แต่ตรงกันข้ามฝ่ายเมืองรามันรุกล้ำเข้าไปเขตเมืองเประเรื่อยๆ จนได้ครอบครองฮูลูเประเกือบทั้งหมด และมีหลักฐานของกุโบร์ที่ฝังศพแม่กองเดเลฮาจากการทำสงครามนี้และถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเบตงจนกระทั่งปัจจุบัน
หลังจาก ต่วนโต๊ะนิ สิ้นชีวิต ลูกชายคือ ต่วนนิฮูลู เป็นเจ้าเมืองแทน ซึ่งต่อมาท่านมีบุตรที่โดดเด่นสองท่านคือ ต่วนนิยากงหรือตงกูอับดุลกันดิสหรือพระยาจาวัง และ ต่วนนิลาบู ซึ่งเป็นหญิง ต่อมาเมื่อต่วนนิยากงเป็นเจ้าเมืองก็ส่งให้น้องสาวคือต่วนนิลาบูเป็นผู้ดูแลเหมืองแร่ต่างๆ ที่เกลียนอินตันแทนโต๊ะนังซีกุวัต ซึ่งเป็นบุตรสาวของต่วนโต๊ะนิ ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการเหมืองมาก่อน
ร่ำลือกันว่าต่วนนิลาบูเป็นผู้หญิงเก่งและชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์เหนือคนธรรมดา ปรากฏในเอกสารว่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ ต่วนนิลาบูกับบริวาร ๖ คน เป็นทูตนำสาสน์ของเจ้าเมืองรามันไปให้ข้าหลวงอังกฤษประจำเประ เธอได้เดินทางท่องเที่ยวไปดูกิจการความทันสมัยของเมืองไทปิง เช่น พิพิธภัณฑ์ โรงพยาบาล เรือนจำโดยการโดยสารรถไฟซึ่งเป็นเรื่องทันสมัยมากในยุคนั้น
ภรรยาของต่วนนิยากงเจ้าเมืองรามันมีนามว่า เจ๊ะนีหรือเจ๊ะนิงเรียกตามภาษามลายูว่า รายาปรัมปูวัน เป็นผู้หญิงเก่งกล้าสามารถอีกเช่นกัน หลังจากสยามจัดระบบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาลและยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองต่างๆ เธอสูญเสียสามีและบุตรชายอันเนื่องมาจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเหล่านี้แต่ทำให้กรรมสิทธิ์เหมืองแร่ที่เกลียนอินตันเป็นของเธอ จึงพาบริวารอพยพจากโกตาบารูไปอยู่อาศัยที่เมืองโกระจนสิ้นชีวิต
เมื่อเมืองรามันรุกล้ำเข้าไปในเประมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สุลต่านเประจึงได้ร้องเรียนไปยังราชสำนักสยามผ่านทางเคดาห์ จนถึงพ.ศ. ๒๔๒๕ โดยความร่วมมือของเจ้าเมืองสงขลาจึงมีการปักเขตแดนระหว่างเประกับรามันที่ บูเก็ตนาซะ ซึ่งอยู่ระหว่างกือนายัตกับตาวาย แต่หลังจากปักหลักเขตแล้วก็ยังมีการปะทะกันประปรายตลอดมาจนมีการทำสัญญากันระหว่างอังกฤษกับสยามที่เมืองโกระเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ ที่เรียกว่า Anglo-Siamese Treaty 1909 เหตุการณ์จึงสงบลง
ทำให้เขตแดนของเมืองรามันเหลือเพียงบริเวณเบตงและยะรม ส่วน อินตัน โกรเน บาโลน และเซะหรือโกระในอีกฝั่งสันปันน้ำนั้นกลายเป็นของสหพันธรัฐมลายา พิธีการมอบดินแดนตามสนธิสัญญานี้มีนายฮิวเบิร์ต เบิร์กลีย์ [Hubert Berkeley] เป็นผู้แทนฝ่ายอังกฤษ
การที่มีรายได้จากค่าสัมปทานการทำเหมืองแร่ ทำให้เจ้าเมืองรามันและยาลอซึ่งตั้งเมืองใหม่ที่อยู่ลึกเข้ามาภายในแผ่นดินและอยู่ในเส้นทางการเดินทางขนส่งสินค้าโดยเหมาะกับการทำเหมืองแร่ดีบุกมีบทบาทอาจจะมากกว่าหรือเทียบเท่าเจ้าเมืองที่อยู่ทางฝั่งทะเลซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ดั้งเดิมของรัฐปาตานี
เส้นทางแม่น้ำปัตตานี เมื่อจะไปออกปากอ่าวหรือชายฝั่งทะเล เรือแพที่ขึ้นล่องค้าขายกับเมืองยะลาและรามันต้องผ่านด่านภาษีของเจ้าเมืองหนองจิก เพราะเส้นทางออกทะเลสายเดิมนั้นออกที่ปากน้ำบางตะวาเมืองหนองจิก โดยเฉพาะภาษีดีบุก ทำให้เมืองปัตตานีขาดผลประโยชน์ไปมาก "ตนกูสุไลมาน" เจ้าเมืองปัตตานี (พ.ศ. ๒๔๓๓-๒๔๔๒) จึงขุดคลองลัดหรือคลองสุไหงบารูหรือคลองใหม่จากหมู่บ้านปรีกีมายังหมู่บ้านอาเนาะบูลูดหรือชาวบ้านเรียกว่าอาเนาะบูโละในอำเภอยะรังระยะทาง ๗ กิโลเมตร อยู่ในเขตของเมืองปัตตานีโดยไม่ต้องผ่านเมืองหนองจิกอีกต่อไปและทำให้เมืองหนองจิกที่เคยอุดมสมบูรณ์ต้องกลายเป็นพื้นที่นาร้างเพราะน้ำกร่อยเนื่องจากลำน้ำขาดเป็นช่วงๆ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ นี่เอง
ดังนั้นการเมืองระหว่างเจ้าเมืองหนองจิกและเจ้าเมืองปัตตานีจึงเป็นการแย่งชิงค่าภาคหลวงอากรดีบุกที่ปากน้ำซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผลประโยชน์ที่แย่งชิงกันจากดีบุกนั้นมีมูลค่ามหาศาล
หลังจากสนธิสัญญาแองโกลสยาม พ.ศ. ๒๔๕๒ เป็นต้นมาก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ก้าวเข้ามามีบทบาทรับสัมปทานการทำเหมืองแร่ดีบุกในเขตแดนเมืองยะลาแทนที่กลุ่มเจ้าเมืองรามันที่สูญเสียเหมืองแร่ไปให้ทางฝั่งเประแล้ว คือ ตระกูลชาวจีนที่มี ปุ่ย แซ่ตัน หรือตันปุ่ย ขึ้นสำเภามาอยู่ที่จังหวัดสงขลา ขายของชำเป็นอาชีพได้ร่วมเป็นอาสารบกับพวกไทรบุรีและกลายเป็นคนสนิทของเจ้าเมืองสงขลาซึ่งมีเชื้อสายจีนอยู่แล้ว เมื่อบ้านเมืองที่ปัตตานีเรียบร้อยดีแล้วเจ้าเมืองสงขลาจึงให้ย้ายมาอยู่ที่เมืองปัตตานีเป็น "กัปปีตันจีน"ปกครองผู้คนฝ่ายจีนรวมทั้งเป็นนายอากรเก็บส่วยภาษีโรงฝิ่นบ่อนเบี้ย ส่งไปให้เจ้าเมืองสงขลา ต่อมาเลื่อนยศเป็น "หลวงสำเร็จกิจกรจางวาง" ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่น้ำปัตตานีที่เรียกว่าหัวตลาดหรือตลาดจีนต่อมาได้ขอสิทธิ์สัมปทานเหมืองแร่ดีบุกในเมืองยะลาหลายแปลงหลายตำบล เป็นต้นตระกูลคณานุรักษ์คหบดีและกลายเป็นชนชั้นนำในเมืองปัตตานีในเวลาต่อมา
ภูมิวัฒนธรรมของบ้านเมืองในคาบสมุทรรวมทั้งบริบททางการเมืองในยุคสมัยต่างๆ ทำให้บ้านเมืองในปาตานีไม่เคยโดดเดี่ยว ตั้งแต่เมื่อตั้งถิ่นฐานในลักษณะของการเป็นเมืองท่าภายในและอยู่ในระหว่างเส้นทางสองฝั่งมหาสมุทรจนถึงการเป็นเมืองท่าริมอ่าว ทำให้เกิดการติดต่อค้าขายจากโพ้นทวีป รับส่งวัฒนธรรมและผู้คนในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้อยู่ร่วมกันจนกลายเป็นสังคมพหุลักษณ์ที่มิได้แตกต่างไปจากบ้านเมืองในเขตอื่นๆ แต่อย่างใด
การทำความเข้าใจภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในเขตรัฐปาตานีหรือในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ จึงต้องอาศัยความเข้าใจในบริบททางภูมิศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมในทุกระยะ จึงจะเข้าใจประวัติศาสตร์แบบสัมพัทธ์ [Relativism] ที่ไม่ติดยึดอยู่กับภาพตัวแทนเพียงช่วงเวลาเสี้ยวใดเสี้ยวหนึ่งทางประวัติศาสตร์เท่านั้น
ความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม : จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ฉ.๑๐๓ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๗)