ตุลาทมิฬและอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
ตั้งอำเภอโกตาบารู เมืองหลวงรัฐกลันตัน
“ขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรอบรัฐสภาบนถนนต้นสายประชาธิปไตยในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑”
แม่น้ำโกลกคือเขตพรมแดนที่ถูกใช้เป็นเส้นแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ให้แยกบ้านเมืองสองฝั่งออกเป็นรัฐชาติสองประเทศฝั่งไทยมีด่านที่ท่าเรือตาบาในอำเภอตากใบ อีกฝั่งหนึ่งคือ กำปงเปงกลัน กูโบร์ ในรัฐกลันตันของมาเลเซียก่อน พ.ศ. ๒๔๕๑ รัฐสยามมีสิทธิเหนือ ดินแดนมลายูทั้ง ๔ รัฐ คือ ไทรบุรี กลันตันตรังกานู และปะลิส ใช้วิธีปกครองแบบหัวเมืองประเทศราช ให้สุลต่านปกครองกันเอง แต่จะส่ง ต้นไม้เงินต้นไม้ทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการยอมรับอำนาจทางการเมืองมาถวายพระมหากษัตริย์ไทย ๓ปีต่อครั้ง
หลังจากอังกฤษเริ่มเข้ามาค้าขายและล่าเมืองขึ้นในแหลมมลายู การเจรจาต่อรองระหว่างรัฐสยามกับเจ้าอาณานิคมอังกฤษดำเนิน เรื่อยมาราวสิบกว่าปี ในระหว่างนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเยือนมลายูหลายครั้ง และพยายามยกฐานะหัวเมืองเหล่านั้น เช่น ยกฐานันดรผู้ครองรัฐไทรบุรีเป็นเจ้าพระยา และพยายามเอื้อเฟื้อให้เจ้าผู้ปกครองนครเหล่านั้นปกครองตนเอง และภักดีต่อ กรุงเทพฯ ซึ่งแตกต่างไปจากการดำเนินนโยบายที่ปฏิบัติต่อหัวเมืองในล้านนาในช่วงเวลาเดียวกันอย่างชัดเจนแม้จะไม่ มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่นำไปสู่การบีบบังคับสู้รบ เช่นที่ฝรั่งเศสกระทำต่อดินแดนชายขอบที่เขมร และลาว ใน พ.ศ. ๒๔๕๑ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีการต่างประเทศของไทย และนายราฟแพชยิต ราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้ลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่ โดยรัฐบาลสยามยกดินแดนเฉพาะที่เห็นว่าอำนาจทางการเมืองของไทยครอบคลุมไปไม่ถึงเท่านั้น คือ ไทรบุรี กลัน ตัน ตรังกานู และปะลิส รวมทั้งเกาะใกล้เคียง ส่วนการแบ่งเขตแดนจะถือเอาสภาวะการปกครองเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องภาษา ศาสนา หรือวัฒนธรรม
สุลต่านกลันตันและสุลต่านตรังกานูต่างคัดค้านการกระทำของไทย สุลต่านกลันตันส่งผู้แทนเข้ามาเจรจาที่กรุงเทพฯ และสุลต่าน ตรังกานูรีบยืนยันความจงรักภักดีของตนต่อเมืองไทย ด้วยการส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองมาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นการยกดินแดนให้อังกฤษให้อยู่ในสหพันธรัฐมลายูของอังกฤษ โดยที่เจ้าของดินแดนหรือชาวบ้านชาวเมืองไม่ได้เตรียมตัวและไม่ต้องการ เปลี่ยนแปลงสถานภาพตนเองโดยไม่ยินยอมแต่อย่างใด
ในขณะนั้นรัฐบาลสยามควบคุมกำกับดูแลบ้านเมืองที่ปัตตานีมาโดยตลอดและไม่อยากสูญเสียไป แม้จะมองเห็นว่าการปกครองหัวเมือง เหล่านี้ซึ่งต่างศาสนาและต่างวัฒนธรรมน่าจะเป็นปัญหามากกว่า ซึ่งเป็นเพียงการมองในด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเห็นว่าภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมที่ถูกแบ่งแยกใน บริเวณที่อาจเรียกว่า “ลังกาสุกะ” ในอดีต หรือในปัจจุบันเรียกบริเวณนี้ว่า ไทยตอนใต้และมาเลเซียตอนเหนือ Thai south and Malay north] ซึ่งมีภูมิหลังที่กล่าวมาแล้วคล้ายคลึงกันและอยู่ระคนกันไปในกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งมลายู จีน และไทย โดยคนมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากกว่าและถือเป็นวัฒนธรรมหลักของบ้านเมืองบริเวณนี้
ความสัมพันธ์ของรัฐต่างๆ ในบริเวณนี้แม้จะถูกแบ่งแยกโดยสนธิสัญญาระหว่างประเทศให้เกิดพรมแดนเป็นรัฐชาติแบบใหม่ที่ตกลงกัน ด้วยผลประโยชน์ของอำนาจศูนย์กลาง จึงเป็นการปิดฉากรูปแบบรัฐโบราณที่เป็นรากฐานของบ้านเมืองในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มา อย่างยาวนาน
ความอุดมสมบูรณ์บนที่ราบรัฐกลันตัน |
แม่น้ำโกลก พรมแดนไทย-มาเลเซีย |
แม้จะกลายเป็นรัฐสมัยใหม่ไปแล้ว แต่รูปแบบทางสังคมวัฒนธรรมที่เคยมีอยู่ยังไม่สูญหายไปแต่อย่างใด ความเหมือนกันทาง สังคมและวัฒนธรรม ความเป็นเครือญาติ ความเป็นพี่น้อง ซึ่งกลายเป็นสิ่งเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างบ้านเมืองในพื้นที่ระหว่างรัฐที่อำนาจทางการเมืองไม่สามารถแบ่งแยกออกได้
กรณีเมื่อมีเอกสารที่เผยแพร่ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ใหม่ๆ นั่นคือ เบอร์จีฮาด ดิ ปัตตานี หรือ การต่อสู้ที่ปัตตานี ในเอกสารระบุว่า เมื่อปฏิบัติการสำเร็จจะมีการสถาปนาราชวงศ์กลันตันขึ้นเป็นผู้ปกครองสูงสุด แล้วนับถือศาสนาอิสลามนิกายสุนนี สำนักความคิดสายอิหม่ามซาฟีอี จัดตั้งสภาสูงสุดที่มาจากนักวิชาการมุสลิมและตัวแทนบุคคลในสาขาอาชีพ ต่างๆ สภานี้มีอำนาจสูงสุดในการแต่งตั้งถอดถอนผู้นำได้ เป็นต้น ข้อความเหล่านี้สะท้อนให้เห็นเหตุผลทางการเมืองที่ต้องการรวมดินแดนดั้งเดิมในราชวงศ์กลันตันที่ถือว่าเป็นราชวงศ์ที่รวมกลุ่มตระกูลเชื้อสายเจ้าเมืองจากวังยะหริ่งหรือเมืองรามันในอดีต และวังอื่นๆ ในดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ไว้ได้ชัดเจนที่สุด
แม้แต่กรณีการหนีของคนไทย ๑๓๑ คนข้ามชายแดนบริเวณสุไหง-โกลกไปอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องในฝั่งมาเลเซีย เพราะกลัวเหตุการณ์ความรุนแรงและความไม่ปลอดภัยจากอำนาจรัฐ คนกลุ่มนี้เป็นชาวบ้านหลายรายจากอำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมที่หน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ บางคนเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านที่ถูกปล้นปืน แต่กลับถูกทางการไทยสงสัยว่า ร่วมมือกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ นำปืนของทางการไปใช้ก่อความไม่สงบ คนไทยเหล่านี้เดินทางหนีออกจากมาตุภูมิและขอไปอยู่อาศัยกับญาติพี่น้องทางฝั่งมาเลเซียและยังไม่ยอมกลับจนถึงปัจจุบัน
สิ่งเหล่านี้อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด กล่าวว่า ชาวบ้านจากประเทศไทยเหล่านี้เดินทางไปหาญาติพี่น้อง ของพวกเขาเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในขบวนการก่อการร้ายดังที่รัฐไทยหวาดกลัวและระแวงแต่อย่างใด
เมื่อเดินทางร่วมไปกับคณะของผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เข้าไปในรัฐทางตอนเหนือของมาเลเซีย โดยเฉพาะในบริเวณตั้งแต่เมืองปะแสร์ มาส [Pasir mas] ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับสุไหง-โกลกทางฝั่งไทยจนถึงโกตาบารู และเมืองตุมปัตที่มีผู้คนที่เรียกตนเองว่า คนมาเลเซีย เชื้อสายไทย และคนจีนที่ถูกเรียกว่า จีนบก ซึ่งแตกต่างไปจากคนเชื้อสายจีนแถบชายฝั่งช่องแคบในอีกฝั่งทะเลอีกด้านหนึ่ง
ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยในกลันตันมีอยู่มากเป็นอันดับสองรองจากรัฐเคดาห์หรือไทรบุรีในอดีต นอกจากนี้ยังมีอยู่บ้างประปรายที่ รัฐตรังกานูและปะลิส เฉพาะในกลันตันมีทั้งคนเชื้อสายไทยที่เป็นชุมชนอยู่มากมายใน ๗ อำเภอ ได้แก่ อำเภอตุมปัต มีคนไทยอยู่ มากที่สุด อำเภอปะแสร์ มาส มีคนไทยอยู่ที่ตลาดปะแสร์ มาสในย่านธุรกิจด้วย และเขตที่ติดกับสุไหง-โกลก อำเภอตะเนาะแมเราะ อำเภอปะแสร์ ปูเต๊ะ อยู่ริมทะเลมีเศรษฐกิจดี มีคนไทยอยู่ที่บ้านเสมอรัก อำเภอบาเจาะ อำเภอโกตาบารู ซึ่งเป็นเมืองหลวง และอำเภอมาจัง ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อย
วัดไทย-จีน ในสังคมมุสลิม การอยู่อย่างสันติของคนกลันตัน
พื้นที่ราบระหว่างแม่น้ำโกลกและแม่น้ำกลันตันคือพื้นที่ราบกว้างใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งกว้างใหญ่กว่าที่ราบของแม่น้ำตากใบและแม่น้ำโกลก ซึ่งมีคนไทยที่พูดภาษาสำเนียงที่เรียกว่า ภาษาเจ๊ะเห หรือ ภาษาไทยตากใบ ในบริเวณนี้คือที่ตั้งของอำเภอตุมปัตที่มีวัดทางพุทธ ศาสนา จำนวนมาก ซึ่งเป็นวัดประจำชุมชนทั้งไทยและจีน ปะปนไปด้วยชุมชนมุสลิมจำนวนไม่น้อย แม้กลันตันจะประกาศตัวเป็นรัฐมุสลิมอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็สามารถจัดการเชื่อมโยงกลุ่มคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธและคนจีนได้โดยการสนับสนุนงานทางวัฒนธรรม เช่น เทศกาลลอยกระทงที่ถือเป็นเทศกาลประจำเดือนพฤศจิกายนในปีท่องเที่ยวของรัฐในปีนี้
ความสงบร่มรื่นในระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และความเป็นปกติสุขของสังคมพหุลักษณ์ในรัฐกลันตัน โดยเฉพาะบริเวณเมืองตุมปัตนี้ เป็นสิ่งที่หาไม่ได้อีกต่อไปในขณะนี้ในอีกฝั่งหนึ่งของชาติไทย
บ้านเมืองในเขตสามจังหวัดภาคใต้ในอดีตนั้นไม่ได้ต่างไปจากบ้านเมืองในอีกฝั่งแม่น้ำโกลกในรัฐกลันตันแต่อย่างใด เพราะอยู่ในวัฒนธรรมและบ้านเมืองเดียวกันมาก่อน แต่จะแตกต่างไปก็เพราะการเมืองของรัฐที่กระทำต่อพลเมืองทั้งสองประเทศนั้น “ไม่เหมือนกัน”
ในขณะที่รัฐไทย ชาวบ้านชาวเมืองโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ คงได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของความไม่เสมอภาคและไม่เท่าเทียมกันในสังคมที่สืบเนื่องมาจากอำนาจของรัฐที่จัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยความรุนแรง และต้องสูญเสียเลือดเนื้อของประชาชน สิ่งเหล่านี้มีผู้แสดงความคิดเห็นมากมายว่า “เริ่มจะเข้าใจสาเหตุของความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ที่ไม่สงบเสียที” นั้นเป็นเพราะเหตุใด
เมื่อเหม่อมองเมืองไทยจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำโกลกที่กั้นพรมแดนบ้านเมืองที่เคยเป็นแผ่นดินเดียวกัน แต่ขณะนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นมีสาเหตุมาจากความแตกต่างทางชาติพันธุ์หรือก็ไม่ใช่ ทางศาสนาหรือก็คงไม่ใช่เป็นสาเหตุมาแต่แรกเริ่ม
การเมืองในบ้านเมืองของเราต่างหากที่บั่นทอนพี่น้องชาวมลายูมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้มาอย่างเนิ่นนาน และในปัจจุบันนี้ การเมืองที่กัดเซาะสังคมไทยก็เริ่มทำให้เห็นว่า แม้แต่ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน การเมืองที่นำไปสู่ความไม่ยุติธรรมในสังคมและเศรษฐกิจก็กำลังทำลายคนไทยทั่วทุกหัวระแหงอยู่ในขณะนี้
ชีวิตในเปลวไฟ : จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ฉ.๗๔ (ก.ย.-ต.ค.๒๕๕๑)