สะพานเจริญพาศน์สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๖ ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ ๓๓ พรรษา ชื่อสะพานจึงต่อด้วยเลขบอกจำนวนพระชนมายุเป็น สะพานเจริญพาศน์ ๓๓
รูปแบบของสะพานที่สร้างเท่าที่เห็นตอนผู้เขียนเป็นเด็ก เป็นสะพานคอนกรีตข้ามคลองบางกอกใหญ่ ราวสะพานทั้งสองข้างเป็นกำแพงทึบ บนราวสะพานเป็นรูปพญานาค ๒ ตัวเลื้อยมาชนกันที่กึ่งกลางสะพาน ระหว่างตัวพญานาคทั้งสองเป็นวงกลมมีชื่อสะพานเจริญพาศน์ ตัวพญานาคปั้นด้วยปูนสวยงามตลอดทั้งตัว มีครีบมีเกล็ดอย่างสัตว์ในวรรณคดี เหตุที่ใช้สัญลักษณ์พญานาคเพราะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ มีพระบรมราชสมภพในปีมะโรงนักษัตร เมื่อเดินข้ามสะพานนี้จึงชอบที่จะเอามือลูบไล้ไปตามลำตัวของพญานาค ด้านในของราวสะพานมีทางแคบๆ กันไว้ให้คนเดิน ความกว้างของสะพานไม่มาก ขนาดรถเมล์เล็กๆ วิ่งสวนกันได้ รถเมล์สมัยนั้นมีบันไดขึ้นทางท้ายรถ มีม้ายาวให้ผู้โดยสารนั่งสองฟากเหมือนรถโดยสารบางท้องที่ในต่างจังหวัดเดี๋ยวนี้ จะด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ ทางการได้รื้อสะพานที่ปรับปรุงใหม่ ทุบราวสะพานที่มีตัวพญานาคทั้งสองข้างออกทั้งหมด แล้วทำเป็นเสาตั้งเป็นระยะๆ ใช้ท่อเหล็กกลวงสอดเข้าไประหว่างเสาโดยตลอด เป็นราวสะพานแทนของเก่า ชื่อสะพานที่เคยมีอยู่กึ่งกลางสะพานหายไป
สะพานเจริญพาศน์สมัย ร.๖ กลางสะพานทำเป็นรูปหัวพญานาค ปัจจุบันถูกรื้อทิ้งไปหมด สร้างเป็นสะพานคอนกรีตเกลี้ยงๆ แทน
สะพานที่เปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ข้างสะพานตรงชายน้ำด้านตลาดยั่งยืน มีร้านค้าไม้แปรรูปและอุปกรณ์ก่อสร้าง เจ้าของกิจการเป็นชาวมุสลิมชื่อ นายหมัด กัลป์ยาณสุต ชาวบ้านเรียกสั้นๆ ว่าร้านนายหมัด เหนือร้านนายหมัดขึ้นมา ทางการได้สร้างหลุมหลบภัยคอนกรีตไว้ ๑ หลุม เพื่อให้ประชาชนในละแวกนั้นหลบภัยสงครามจากเครื่องบินที่มาทิ้งระเบิดในกรุงเทพฯ ระหว่างร้านนายหมัดกับหลุมหลบภัยเป็นทางเข้าตลาดยั่งยืน เป็นสะพานไม้ทอดข้ามจากลาดสะพานเจริญพาศน์ไปยังตลาดยั่งยืน สรุปความตรงนี้คือร้านนายหมัดกับหลุมหลบภัยอยู่ต่ำกว่าสะพานเจริญพาศน์ หลุมหลบภัยที่ว่านี้มีอักษรปั้นด้วยปูน บอกสถานภาพของหลุมว่า “หลุมหลบภัยบรรจุได้ ๖๐ คน”ทางเข้ามีทางเดียว แต่ไม่มีใครใช้ เพราะเข้าไปแล้วมืดทึบมองอะไรไม่เห็น ซ้ำไม่มีอากาศหายใจ ทางการได้แก้ไขด้วยการใช้ท่อน้ำทำด้วยซิเมนต์ ทำเป็นปล่องบนหลังคาคลุม ๒ ปล่อง เพื่อให้มีอากาศถ่ายเท แต่ก็ไม่มีใครใช้ ด้วยเกรงว่าหากลูกระเบิดตกลงหลุมก็ตายกันหมด สู้อยู่ข้างนอกไม่ได้ยังพอมองเห็นว่าเครื่องบินบินไปทางไหน จะได้ตัดสินใจหาทางป้องกันตนเองตามเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนั้น เครื่องบินที่มาโจมตีกรุงเทพฯ ในครั้งนั้นเป็นของอเมริกา เป็นเครื่องบิน ๔ ใบพัด เรียกว่า บี ๒๙ นับว่าเป็นเครื่องบินรบทันสมัยที่สุดในเวลานั้น
สภาพหลุมหลบภัยที่เหลืออยู่ใต้สะพานเจริญพาศน์ในปัจจุบัน
เช่นเดียวกับตลาดคุณหญิงอายุยืนที่เคยเป็นทั้งตลาดและโรงมหรสพเก่าแก่ของย่าน ก็อยู่ในสภาพทรุดโทรมไม่แพ้กัน
หลุมหลบภัยอย่างเดียวกันนี้มีอีกแห่งหนึ่งหน้าโรงเรียนศึกษานารี ย่านวงเวียนเล็ก ยังคงเหลืออยู่เป็นอนุสรณ์แห่งสงคราม แต่ก็จมดินไปครึ่งหนึ่ง บนหลังคาหลุมหลบภัยดัดแปลงปลูกไม้ดอก หลุมหลบภัยที่สวยที่สุดเป็นหลุมหลบภัยหน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง ที่ตรงนี้เดิมทำเป็นอาคารกลม อย่างลูกโลกเพียงครึ่งเดียว ด้านบนมีช้างสามเศียรหล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ประดับอยู่ เมื่อเกิดสงครามได้ดัดแปลงอาคารกลมนี้เป็นหลุมหลบภัย มีชื่อป้ายบอกให้รู้ว่าเป็นหลุมหลบภัย แต่จะใช้ได้ดีแค่ไหน ตอบไม่ได้ เพราะหลุมหลบภัยตรงนี้มีขนาดเล็กและไม่ได้สร้างไว้เพื่อเป็นหลุมหลบภัย จุคนได้ไม่มาก สงครามเลิกแล้วหลายสิบปีจึงได้รื้อออกทั้งหมด สร้างเสาหินอ่อนแทนที่ แล้วเอาช้างสัมฤทธิ์ ๓ เศียรประดับไว้อย่างที่เห็นทุกวันนี้ หลุมหลบภัยฝั่งกรุงเทพฯ คงมีอีกหลายแห่ง แต่ไม่เคยเห็น นอกจากสามแห่งนี้เท่านั้น ขอวกเข้าเรื่องสะพานเจริญพาศน์ต่อไป
ภาพถ่ายโรงเรียนศึกษานารี หลัง พ.ศ. ๒๔๘๕ ยังเห็นอาคาร หลุมหลบภัย (อาคารสี่เหลี่ยมซ้ายมือของภาพ) และประปาสาธารณะ (วงกลมบนสนามหญ้า) ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโรงเรียน
หลุมหลบภัยหน้าโรงเรียนศึกษานารีที่แปรสภาพกลายเป็นที่ปลูกต้นไม้ไปแล้ว
บริเวณ ถ. สิบสามห้าง ข้างวัดบวรนิเวศ ถ่ายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙
อาคารสี่เหลี่ยม ๒ แห่งบนเกาะกลางถนน คือ หลุมหลมภัย ปัจจุบันกลายเป็นห้องน้ำสาธารณะ
เมื่อความเจริญของบ้านเมืองมีมากขึ้น ทางการได้ขยายสะพานเจริญพาศน์ให้กว้างขวางกว่าเดิม เพื่อรองรับรถขนาดต่างๆ ที่ต้องใช้สะพานแห่งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หากจะเรียกว่าสร้างใหม่ทั้งหมดก็ได้ ขนาดความกว้างๆ กว่าของเดิมหนึ่งเท่าตัว ความสูงๆ จากเดิมราว ๒ เมตร เฉพาะช่วงทางเดินรถก่ออิฐฉาบปูนเป็นกำแพงเตี้ยๆ ตั้งเอาไว้ ส่วนทางเดินของคนกันออกไปอยู่ข้างนอก ราวสะพานเปลี่ยนเป็นลูกกรงอลูมิเนียมกลวง เป็นแนวตั้งโดยตลอด มีเสาไฟฟ้าตั้งอยู่บนราวปลายสะพานทั้งสองฟาก การขยายสะพานครั้งนี้ขยายทางด้านตลาดยั่งยืน (ตลาดปี๊บ) โดยสร้างสะพานใหม่ที่ว่านี้ก่อน เมื่อเสร็จแล้วจึงรื้อสะพานเก่าของเดิมออกสร้างใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้เพื่อมิให้ประชาชนต้องเดือดร้อน
ได้กล่าวมาแล้วว่าสะพานที่สร้างใหม่สูงกว่าสะพานเก่า บริเวณคอสะพานหรือใต้สะพานตรงชายน้ำ จึงสามารถทำลานเล็กๆ ใต้สะพานให้คนเดินลอดได้ บางครั้งก็ใช้เป็นที่เล่นของเด็กในละแวกนั้น เฉพาะชายน้ำฝั่งกุฎีเจริญพาศน์เดิมเป็นที่ว่างที่ทางการกันเอาไว้ขยายสะพาน มีท่าน้ำสาธารณะกุฎีเจริญพาศน์เมื่อมีงานบุญทำพิธีมะหะหร่ำ จะมีรายละเอียดอะไรบ้างไม่รู้ เพราะทางกุฎีจะเอาผ้ากั้นรอบๆ กำแพงกุฎี ไม่ให้คนศาสนาอื่นได้เห็นพิธีของเขา แต่ก็มีเสียงเล่ากันว่ามีแห่ลังไก่ ทุบอก ลุยไฟ และกรีดศีรษะ พิธีกรีดศีรษะเป็นพิธีของมุสลิมนิกายชีอะห์ ผู้ชายมุสลิมทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะกรีดศีรษะในพิธีมะหะหร่ำ ใช้ผ้าขาวเจาะรูรอบๆ แล้วสวมคอ ปล่อยชายทั้งสองข้างทางด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อรองรับเลือดที่ไหลออกมา เสร็จพิธีราว ๓-๔ โมงเย็น พวกที่กรีดหัวจะเอาผ้าที่รองเลือดมาซักที่ชายคลอง ช่วงนั้นเป็นเวลาช่วงน้ำลงและหัวน้ำขึ้น น้ำในบริเวณที่ซักผ้าแดงเป็นฟองฟอด พวกเราก็ยืนดูกันบนสะพานสักพักก็จางหายไป เพราะช่วงน้ำลงน้ำไหลค่อนข้างแรง พิธีมะหะหร่ำยังมีอยู่ แต่การกรีดศีรษะจะทำสืบต่อมาหรือไม่นั้นไม่ทราบ ทั้งบางพวกที่เป็นมุสลิมนิกายชีอะห์เหมือนกันก็ไม่กรีดศีรษะ เช่น พวกมัสยิดผดุงธรรมที่อยู่ถัดไป
การสร้างและการขยายสะพานเจริญพาศน์ครั้งหลังนี้ จำเป็นต้องสร้างคร่อมบริเวณที่เคยเป็นร้านค้าไม้แปรรูปและวัสดุก่อสร้างของนายหมัด กัลป์ยาณสุต กับหลุมหลบภัย ตรงบริเวณร้านค้าไม้ไม่มีปัญหา เพราะเลิกกิจการไปแล้ว ปัญหาอยู่ตรงหลุมหลบภัยเพราะเกะกะในการก่อสร้าง มีการเรียกร้องให้อนุรักษ์ไว้เป็นอนุสรณ์แห่งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ในที่สุดได้ข้อสรุปตกลงที่จะอนุรักษ์ไว้ โดยให้ผู้รับเหมาหาวิธีที่จะไม่ให้ทุบและทำลายทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะจำเป็นต้องลงเข็มบริเวณนี้ให้แข็งแรงตามหลักวิชาของการก่อสร้าง สุดท้ายเมื่อตอกเสาเข็มลงไปหลุมหลบภัยก็พังเกือบทั้งหมด ข้อตกลงระหว่างผู้รับเหมากับทางราชการเป็นเพียงให้เรื่องคัดค้านระงับไประยะหนึ่ง กลุ่มผู้อนุรักษ์ก็ไม่ได้ติดตาม พอเรื่องเงียบก็ต้องทุบทิ้งไป ปัจจุบันเหลือซากบางส่วนอยู่ใต้สะพาน ถ้าไม่มีป้ายบอกว่าเป็นหลุมหลบภัยคงไม่มีใครทราบ หลุมหลบภัยที่เหลือรอดเป็นหลุมหลบภัยหน้าโรงเรียนศึกษานารีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
สะพานเจริญพาศน์เป็นสะพานหนึ่งในสะพานชุด “เจริญ”ต่อด้วยตัวเลขบอกพระชนมายุในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของแต่ละปี สะพานชุดเจริญที่โปรดให้สร้างมี ๖ สะพาน ดังนี้
๑. สะพานเจริญรัช ๓๑ ข้ามคลองคูเมืองเดิมที่ปากคลองตลาด
๒. สะพานเจริญราษฎร์ ๓๒ ข้ามคลองมหานาค
๓. สะพานเจริญพาศน์ ๓๓ ข้ามคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวง
๔. สะพานเจริญศรี ๓๔ ข้ามคลองคูเมืองเดิมตรงวัดบุรณะศิริมาตยาราม
๕. สะพานเจริญสวัสดิ์ ๓๕ ข้ามคลองผดุงกรุงเกษมตรงหัวลำโพง
แต่ละสะพานมีรูปแบบแตกต่างกันไป บางสะพานยังเหลืออยู่ในสภาพเดิม บางะสะพานถูกทุบทำลายทิ้งสร้างใหม่ผิดรูปผิดร่างไปเลย เช่น สะพานเจริญสวัสดิ์ ๓๕ ที่ข้ามคลองผดุงกรุงเกษมตรงหัวลำโพง เป็นสะพานที่สร้างสวยงาม ข้างสะพานทำเป็นรูปดอกไม้ใบไม้ ปั้นด้วยแผ่นโลหะอย่างประณีต เช่นเดียวกับสะพานผ่านฟ้า เมื่อสำนักกรุงเทพมหานครได้ขยายสะพานและปรับปรุงถนนพระราม ๔ กับถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ต้องสร้างสะพานคอนกรีตควบคู่กันไปกับสะพานเจริญสวัสดิ์ ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างของเก่ากับของใหม่ แรกๆ ยังนึกว่าทางการคงจะรักษาสะพานเจริญสวัสดิ์เอาไว้ เพราะเป็นสะพานที่สวยงามไม่แพ้สะพานผ่านฟ้า และคงจะเป็นด้วยสะพานทั้งสองมีรูปแบบแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ประกอบกับนิสัยคนไทยเห่อของใหม่ ผู้มีอำนาจในเวลานั้นจึงรื้อสะพานเจริญสวัสดิ์ออกทั้งหมด แล้วสร้างใหม่ให้เหมือนกับอีกสะพานที่สร้างใหม่ควบคู่กันอย่างที่เห็นทุกวันนี้ สะพานเจริญพาศน์ก็เหมือนกันถูกรื้อปรับปรุงมาแล้ว ๓ ครั้ง จนไม่มีเค้าของเดิมเหลืออยู่เลย ที่เหลืออยู่คือชื่อสะพานเท่านั้น