ภาพเก่าเล่าเรื่องชุดนี้ เป็นภาพงานศพของหมอเต้า มณีกร แพทย์แผนไทย แห่งร้านสมบูรณ์โอสถ จากภาพจะเห็นลูกหลาน ญาติสนิทมิตรสหายซึ่งหลายท่านแต่งชุดขาวมาร่วมงาน
ข้อมูลจากเว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม เรื่องการแต่งกายในงานศพสมัยโบราณ ให้ข้อมูลซึ่งช่วยขยายรายละเอียดเรื่องการแต่งกายในงานศพ ไว้ว่า
" สมัยโบราณการแต่งกายไปงานศพแบ่งเป็นหลายแบบ ตามอายุและความเกี่ยวข้องกับผู้ตาย โดยกำหนดจากการใช้สีเสื้อผ้าต่างกัน ๓ สี คือ สีดำ สีขาว และสีม่วงแก่หรือสีน้ำเงินแก่ ดังนี้
สีขาว สำหรับผู้เยาว์หรือผู้ที่มีอายุอ่อนกว่าผู้ตาย เช่น ลูกหลานญาติสนิทหรือผู้อยู่ในอุปการะและสำหรับพระราชพิธีพระบรมศพ
สีดำ สำหรับผู้ใหญ่หรือผู้ที่อายุแก่กว่าผู้ตาย
นุ่งสีม่วงแก่หรือน้ำเงินแก่สวมเสื้อขาว สำหรับผู้ที่มิได้เกี่ยวข้องเป็นญาติกับผู้ตาย
นุ่งดำสวมเสื้อขาว สำหรับมิตรสหายที่สนิทกับผู้ตาย
การแต่งกายสีต่างกันในงานศพสมัยโบราณทำให้ผู้พบเห็นสามารถรู้ทันทีว่าผู้นั้นเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับผู้ตายอย่างไร เพียงไรและทำให้ผู้ที่จะไปงานนั้นๆ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับตนเอง และเทือกเถาเหล่ากอหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในสกุลของตน เพื่อที่จะได้แต่งสีให้ถูกต้อง"
(อ้างอิงจาก https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_3358 เข้าถึงข้อมูลเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๑)
จากภาพยังทำให้เห็นบรรยากาศแวดล้อมของชุมชนประแสเมื่อครั้งอดีตอีกด้วย และว่ากันว่าสังคมไทยในอดีตมีความใกล้ชิดกับความตายกว่าคนในปัจจุบันมาก จึงน่าจะมีโอกาสเจริญมรณานุสติกว่าคนในปัจจุบัน ขอฝากข้อคิดจากพระไพศาล วิสาโล เรื่อง มรณานุสติ หรือมรณสติ เพื่อเป็นการทิ้งท้าย
" มรณสติมีสองส่วน ส่วนแรก คือ การระลึกถึงความจริงว่า เราต้องตายอย่างแน่นอน แต่เท่านั้นยังไม่พอ ต้องระลึกต่อไปด้วยว่า เราสามารถจะตายได้ทุกโอกาส สามารถจะตายได้ทุกเมื่อ แม้ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ก็ตาม สำหรับคนส่วนใหญ่ความตายเป็นสิ่งที่แย่ แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือเราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร อาจจะคืนนี้ อาจจะพรุ่งนี้ก็ได้ "
มีภาษิตทิเบตบทหนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “ระหว่างวันพรุ่งนี้กับชาติหน้า ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะมาถึงก่อน”
(อ้างอิงจาก https://www.visalo.org/article/D_MoranaSati.htm เข้าถึงเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๑)
ขอขอบคุณ คุณภาวิณี ยอดบริบูรณ์ ผู้เอื้อเฟื้อภาพ และข้อมูล