๑. พระเจ้าพรหมมหาราช จากตำนานในท้องถิ่นสู่การสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทย
คำว่านักวิชาการดูเป็นคำสมัยใหม่ที่น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพลนสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา พร้อมๆ กับคำว่า “พัฒนา” และ “วิจัย” รวมไปถึง “สัมมนา” ด้วย ตั้งแต่ยุคนั้น รัฐบาลเดินเครื่องเต็มที่ในการจัดการบริหารการปกครองและการศึกษาไปตามแนวทางของตะวันตกแบบอเมริกัน มีการส่งนักเรียนนักศึกษารวมถึงให้ทุนบรรดาข้าราชการไปเรียนต่อที่อเมริกาและประเทศที่เป็นเครือข่ายของอเมริกาอย่างมโหฬาร อันเป็นผลทำให้บรรดาข้าราชการ ครูบาอาจารย์ และบุคลากรในวงการเศรษฐกิจทั้งของรัฐและเอกชนเต็มไปด้วยนักเรียนนอกรุ่นใหม่ ที่น่าจะเรียกกันรวมๆ ว่า “นักวิชาการ”
คนรุ่นนี้เหล่านี้แหละที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการเรียนรู้และการสร้างความรู้แบบใหม่ ที่ค่อนข้างจะทิ้งของเดิมๆ ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่อย่างสิ้นเชิง ใครที่ยังยึดและเชื่อในของเดิมก็ถูกมองว่าล้าหลัง ไม่ทันสมัย ในขณะเดียวกันก็มีการบัญญัติคำใหม่ๆ พิลึกๆ ให้เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในบรรดาหมู่คนที่ทำตัวเป็นคนสมัยใหม่
หนึ่งในคำที่บัญญัติใหม่เรียกใหม่ก็คือคำว่า “มายาคติ” ที่ต้องการจะแปลความและถอดความหมายมาจากคำว่า “Myth” ที่คนรุ่นก่อนเรียกว่านิยายปรัมปราคติ หรือตำนาน
ข้าพเจ้าไม่ใคร่ศรัทธาในคำว่านิยายปรัมปราคติเท่าใด เพราะเป็นการแปลความจากบรรดานักปราชญ์รุ่นพ่อ แต่ยึดคำว่าตำนานแทน เพราะเห็นว่าเป็นคำที่มีอยู่แล้วในสังคมไทยมาแต่โบราณก่อนที่คำว่า Myth จะแพร่หลายเข้ามา
อีกอย่างหนึ่งก็คือ ข้าพเจ้ามักคุ้นเคยกับคำว่า “ตำนาน พงศาวดาร” มาตลอด เพราะเหตุชอบอ่านมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งตำนานและพงศาวดารก็คือเรื่องประวัติความเป็นมาของคน สถานที่ สิ่งของ หรือเหตุการณ์
ความต่างกันระหว่างตำนานกับพงศาวดารเป็นเพียงแต่พงศาวดารเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกษัตริย์และราชวงศ์ เพราะหมายถึง “พงศา + อวตาร” นั่นเอง ในขณะที่ตำนานเป็นเรื่องทั่วไป คนไทยโบราณถือว่าตำนานพงศาวดารคือประวัติศาสตร์ที่บอกความเป็นมาและเหตุการณ์ในอดีต
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ก็แพร่หลายเข้ามา อันเนื่องจากการเกี่ยวข้องกับชาวตะวันตก ทำให้เกิดมีการค้นคว้าหาหลักฐานทางโบราณคดี พร้อมทั้งมีการศึกษาหลักฐานทางเอกสาร ภาษา จารึก ทำให้มีการเขียนประวัติศาสตร์กันขึ้น พร้อมๆ กันกับละทิ้งคุณค่าของตำนานพงศาวดาร โดยอ้างว่าไม่ใช่หลักฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เพราะกำหนดเรื่องเวลาที่เป็นจริงไม่ได้
แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงสนใจในเรื่องตำนานพงศาวดารอยู่ เพราะอ่านแล้วได้ความรู้เกี่ยวกับคนและอะไรต่ออะไรเป็นอย่างมาก รวมทั้งยังแลเห็นว่าตำนานยังคงเป็นหลักฐานและข้อมูลประวัติศาสตร์อยู่ดี ถ้าหากตัดเรื่องการหาความถูกต้องและเวลาที่แน่นอนออกไป
ข้าพเจ้าเพิ่มความสนใจและเห็นความสำคัญของตำนานมากขึ้น เมื่อได้ไปเรียนวิชามานุษยวิทยาในต่างประเทศ เพราะพบว่าผู้คนในสังคมโบราณทั้งที่มีลายลักษณ์และไม่มีลายลักษณ์นั้น ต่างเชื่อว่า Myth หรือตำนาน คือสิ่งที่บอกความเป็นมาของเผ่าพันธุ์ เหตุการณ์ การมีตัวตน และสำนึกร่วมในการอยู่รวมกันด้วยกันทั้งนั้น
มนุษย์ทั่วไปที่ไม่ใช่พวกตะวันตกที่เรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์จากพวกกรีก ดูจะไม่รู้จักเลยว่าประวัติศาสตร์คืออะไร
ความเป็นประวัติศาสตร์ของตำนานนั้น ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากการแสวงหาข้อเท็จจริงตามเหตุการณ์และเวลาที่เป็นจริง หากเป็นการสร้างมาจากความเชื่อในเวลาและเรื่องราวที่สมมติเพื่อการอยู่ร่วมกันทางสังคมอย่างมีจารีตประเพณีและศีลธรรมมากกว่า
๒. ต้นเลียบ สถานที่ฝังรกของหลวงปู่ทวดที่วัดพะโคะ เขตสทิงพระ เมืองสงขลา
ตำนานที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต
เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความคิดตามประสาตัวเองว่า ตำนานหรือ Myth นั้น คือประวัติศาสตร์ในความเป็นจริงของมนุษยชาติและการเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังเชื่อว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์แบบที่หาข้อเท็จจริงอีกด้วย ถ้าหากสอบค้นได้ว่าเขียนขึ้นหรือสร้างขึ้นในสมัยใด
ข้าพเจ้าเห็นว่าตำนานเห็นหลักฐานประวัติศาสตร์สังคม เพราะเป็นสิ่งที่คนในสังคมยุคหนึ่งสมัยหนึ่งสร้างขั้น เพื่ออธิบายความเป็นมาและชีวิตการอยู่ร่วมกันทางสังคม ยิ่งกว่านั้นตำนานคือประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต [Living history] เพราะได้มีการปรุงแต่ง เพิ่มเติมเนื้อหาและความหมายไปตามสังคมในแต่ละเวลาและสถานที่เสมอ ทำให้เรื่องราวของตำนานมีทั้งสืบเนื่องและหลากหลายอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งสังคมแทบทุกแห่งในโลกปัจจุบันได้ผ่านพ้นความเป็นสังคมแบบเรียบง่าย [Simple society] มาเป็นสังคมที่ซับซ้อน [Complex societies] กันหมดแล้วนั้น ตำนานกลับยังสร้างกันอยู่อย่างต่อเนื่องและมีชีวิตชีวา ทั้งเพื่อเป็นกลไกในการแสดงอัตลักษณ์ของคนแต่ละกลุ่มเหล่า และเพื่อตอบโต้ต่อรองในการอยู่ร่วมกันทางสังคม
ภาษาและเรื่องราวในตำนานมักไม่ใช่เรื่องที่เป็นจริงแบบประวัติศาสตร์ หากเป็นเรื่องเปรียบเทียบ เรื่องสมมติ ที่ค่อนข้างเป็นสัญลักษณ์สะท้อนให้เห็นถึงความคิด ความเชื่อ โลกทัศน์ ค่านิยมของกลุ่มชนที่เป็นเจ้าของตำนาน ตำนานเป็นเรื่องสมมติและสัญลักษณ์ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สังคม เพราะเป็นสิ่งแสดงถึงความนึกคิด จินตนาการของคนในสังคมท้องถิ่น เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับกลุ่มคน พื้นที่ และสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม
จะเอาเรื่องราวและบุคคลในตำนานมาเป็นประวัติศาสตร์ไม่ได้ แต่กระนั้นการเขียนประวัติศาสตร์ไทยก็ยังมีการนำเอาบุคคลในตำนานมาเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์บ่อยๆ อย่างเช่นการเขียนว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ผู้สร้างพระนครศรีอยุธยาคือท้าวอู่ทอง หรือการเชื่อว่าพ่อขุนรามคำแหงคือพระร่วง เป็นต้น
ถ้ามองในมิติของตำนานหรือ Myth นั้น พระนางจามเทวี ท้าวอู่ทอง ท้างฮุ่งหรือเจือง พระร่วง ล้วนเป็นผู้นำทางวัฒนธรรม [Cultural hero] หาใช่บุคคลในประวัติศาสตร์ [Historical person] ไม่
เพื่อให้เกิดความเข้าใจดี จึงใคร่ยอกตัวอย่างเรื่องราวในตำนานจากสังคมปัตตานีในสามจังหวัดภาคใต้มาเสริมในที่นี้ นั่นคือเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานมัสยิดกรือเซะ ที่เล่ากันว่าสร้างไม่เสร็จ เพราะถูกคำสาปของหญิงจีนที่มีชื่อว่าลิ้มกอเหนี่ยว ผู้ที่พยายามจะให้พี่ชายซึ่งเป็นคนจีนมาเป็นบุตรเขยของเจ้าเมืองปัตตานีและเข้ารีตมาเป็นคนมุสลิมนับถือศาสนาอิสลาม ให้กลับไปเมืองจีน แต่ไม่ได้รับการตอบรับและยินยอม ลิ้มกอเหนี่ยวจึงฆ่าตัวตาย และสาปไม่ให้ลิ้มโต๊ะเคียม ผู้รับอาสาเจ้าเมืองสร้างมัสยิดกรือเซะได้สำเร็จ จึงมักปรากฏเหตุการณ์ขึ้นว่า ถ้ามีการสร้างให้กรือเซะเสร็จครั้งใดจะถูกไฟไหม้ทุกทีไป เลยเป็นเหตุให้กรือเซะถูกทิ้งร้าง กลายเป็นโบราณสถานจนปัจจุบัน
เรื่องเช่นนี้ไม่ปรากฏหลักฐานในประวัติศาสตร์ปัตตานี มีแค่เพียงเหตุการณ์บางอย่างที่น่าจะทำให้เกิดการสร้างตำนานนี้ขึ้นมา นั่นคือประมาณช่วงเวลาระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ นั้น ปัตตานีเจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองท่า และเป็นศูนย์กลางของนครรัฐทางตอนเหนือของคาบสมุทรมลายู เพราะมีการค้าขายทางทะเลที่มีพ่อค้านานาชาติเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะคนจีนได้เข้ามามีบทบาทเศรษฐกิจสังคม มีการแต่งงานกับคนพื้นเมือง โดยเฉพาะมีบุคคลที่ได้เป็นเขยเจ้าผู้ครองนคร ที่ต่อมาธิดาของเจ้าเมืองท่านนั้นได้ขึ้นครองเมืองเป็นราชินีของปัตตานี
โดยเหตุเช่นนี้ กลุ่มคนจีนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในปัตตานีจึงสร้างตำนานนี้ขึ้นมาอธิบายตัวตนของตน โดยกำหนดให้ลิ้มกอเหนี่ยวและลิ้มโต๊ะเคียมเป็นผู้นำวัฒนธรรมของพวกตน เรื่องตำนานเกี่ยวกับคนจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นคนในสังคมท้องถิ่นเช่นนี้ก็มีอยู่ในภาคกลางของประเทศไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ คือเรื่องท้าวอู่ทอง
จดหมายเหตุของพ่อค้าชาวตะวันตกที่ชื่อฟาน ฟลีต บันทึกไว้ว่า มีบุคคลที่เป็นโอรสของพระเจ้ากรุงจีน ที่มีนามว่าเจ้าอู่ ถูกพระบิดาเนรเทศให้เข้ามายังบ้านเมืองชายทะเล ตั้งแต่ปัตตานี นครศรีธรรมราช กุยบุรี และเพชรบุรี
เจ้าอู่นำขบวนเรือสำเภาเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ตั้งแต่ปัตตานีถึงเพชรบุรี ซึ่งก็สอดคล้องกับตำนานท้องถิ่นที่กล่าวถึงการแต่งงานของโอรสเข้ากรุงจีนกับบุตรีของผู้นำของบ้านเมือง ท้าวอู่ทองคือบุตรที่เกิดจากคนจีนและคนพื้นเมือง ได้กลายเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่ของบ้านเมืองที่เติบโตขึ้นในช่วงเวลาระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ จึงมีการแพร่หลายไปตามท้องถิ่นต่างๆ กลายเป็นชื่อสถานที่และประวัติของบ้านเมืองและสถานที่สืบกันมาจนทุกวันนี้
สิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องตำนานที่เกี่ยวกับผู้นำทางวัฒนธรรมก็คือ ได้ถูกยกให้เป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ [Deified] ที่มีคนเคารพกราบไหว้และอ้างอิงเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีกฎเกณฑ์และศีลธรรม
ตำนานคือประวัติความเป็นมาของผู้คนและการอยู่ร่วมกันในท้องถิ่น ที่มีการถ่ายทอดและปรุงแต่งให้เข้ากับสภาพและสถานการณ์ทางสังคมอยู่ตลอดเวลา สังคมใดที่ดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องและเป็นปึกแผ่น ตำนานคือประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตสำหรับผู้คนในสังคม
๓. ผู้ดูและพระเพลาเรื่องนางเลือดขาว ก่อนจะถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดวชิรญาณ กรุงเทพฯ
จนกลายเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์มากกว่าที่จะดำรงหน้าที่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำนานท้องถิ่น
ดูเหมือนทุกวันนี้ ประเทศที่ตำนานดำรงอยู่อย่างมีความหมายมากที่สุดก็คืออินเดีย ประเทศที่ดูล้าหลังทางวัตถุ ที่ถ้ามองจากภายนอก เช่นจากคนไทย ก็อาจเรียกได้ว่ายังอยู่ในวัฒนธรรมของความยากจน [Culture of poverty)] แต่มากด้วยจริยธรรมและศีลธรรม อันเนื่องมาจากความเลื่อมใสศรัทธาในผู้นำวัฒนธรรม เช่น รามาและกฤษณะ ตำนานของวีรบุรุษทั้งสองนับเป็นส่วนหนึ่งในคัมภีร์ปุราณะที่ทำให้ศาสนาฮินดูครอบงำจิตใจของคนอินเดียมาทุกยุคทุกสมัย
รามาหรือพระราม คือผู้จรรโลงคุณธรรมและศีลธรรมของโลก ในขณะที่กฤษณะคือผู้รักษาจริยธรรม ดังปรากฏเรื่องราวในภควัตคีตา และเป็นผู้ชายในอุดมคติของหญิงอินเดียที่มีปัญหาเรื่องสามี
ทำนองตรงข้ามกับประเทศไทย ที่มีความล้ำยุคทางวัตถุ แต่ทั้งเสื่อมและถ่อยทางจริยธรรมและศีลธรรม อันเนื่องมาจากการปรับเปลี่ยนตัวเองจากสังคมเกษตรกรรมแบบประเพณีที่อยู่มาช้านานกว่าพันปีด้วยรากฐานและความเชื่อทางศาสนา ตำนาน และคุณธรรมของผู้ปกครองและผู้นำทางวัฒนธรรม มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่ท้องถิ่นเต็มไปด้วยเดรัจฉานที่ไม่มีหัวนอนปลายตีนมาเป็นผู้บริหาร ผู้ปกครอง
ทุกวันนี้ บรรดานักวิชาการผู้ล้ำยุคในเรื่องแนวคิด ทฤษฎี และวิธีการตามแบบฉบับตะวันตก ได้ให้ความหมายใหม่แก่คำว่า Myth ที่คนรุ่นเก่าๆ เรียกว่าตำนาน มาเป็น “มายาคติ” แทน
การบัญญัติศัพท์เช่นนี้ สื่อความหมายไปในทางลบ ที่ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เป็นความจริงในความเป็นมนุษย์ที่มีมาแต่โบราณกาล
ทุกวันนี้ เวลาดูภาพยนตร์อินเดียและฮอลลีวู้ด แล้วเห็นผู้นำวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกันระหว่างชัยศรีราม และพระกฤษณะผู้ชี้แนะให้มนุษย์ลดความบ้าเห่อในอัตตาและตัวตน กับ เชน แรมโบ้ และใครต่อใครที่ดังๆ ที่กระตุ้นการมีตัวตนอย่างฉลาดเฉลียว มีไหวพริบ และรอบรู้ในวิทยาการทันสมัยที่นำไปสู่ความรุนแรง การแก้แค้น ทำลายกันอย่างโหดเหี้ยมเพื่ออยู่รอดแบบสัตว์ป่าและเดรัจฉาน
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า ความต่างกันเช่นนี้ เป็นวาทกรรมหรือเปล่า
ศรีศักร วัลลิโภดม : บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๓๓ ฉ. ๑ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๐)