หน้าหลัก
เกี่ยวกับมูลนิธิ
วันเล็ก-ประไพ รำลึก
ติดต่อเรา
ชีวิตที่วัดโพธิ์และตลาดท่าเตียนของ "จุล อรุณวิจิตรเกษม"
บทความโดย วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
เรียบเรียงเมื่อ 18 ต.ค. 2559, 14:09 น.
เข้าชมแล้ว 8037 ครั้ง

จุล  อรุณวิจิตรเกษม

 

ชีวิตเร่ร่อนแต่มีผู้ชุบเลี้ยงเป็นสมเด็จฯ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ ๒ พระองค์

ผมชื่อนายจุล อรุณวิจิตรเกษม อายุ ๗๖ ปี เกิดที่บ้านบึง ชลบุรี มากรุงเทพฯ แล้วพลัดหลงกับแม่ มานอนอาศัยอยู่ริมม้านั่งที่จะข้ามฟากวัดอรุณฯ ม้านั่งตัวนั้นยังอยู่จนทุกวันนี้ นอนอยู่เป็นปี แต่บังเอิญโชคดีเจอคนเฒ่าคนแก่ สมัยก่อนเขาเอื้ออาทรเห็น ว่าไม่มีหลักแหล่ง นำไปฝากกับพระองค์นั้นองค์นี้ช่วยรับบาตร

 

ต่อมาสมเด็จเผื่อน (สมเด็จพระวันรัต, อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน ช่วง พ.ศ. ๒๔๘๔-๒๔๙๐) ไม่มีเด็กรับใช้ จึงไปฝาก“สมเด็จเผื่อน” อีก ตอนนั้นอายุราว ๗-๘ ขวบ ทำให้ไปอยู่วัดมีโอกาสซึมซับเรื่องราวต่างๆ ภายหลังสมเด็จฯ เผื่อนมรณภาพ ก็ฝากต่ออีกกับ “สมเด็จปุ่น” (สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ)) หรือ “สมเด็จป๋า” เหตุที่ได้เรียนหนังสือ เพราะวันหนึ่งท่านให้อ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟัง เรานั่งเฉยอ่านไม่ออกบอกท่านว่าผมไม่ได้เรียนหนังสือ ท่านบอกไปตามผู้ใหญ่มาเอาไปฝากเรียน ตอนนั้นอายุเกินแล้ว ฝากแล้วลดอายุให้เรียบร้อยให้เข้าเรียนตามเกณฑ์ได้

 

พอหลังจากไปเรียนประถมที่วัดโพธิ์ ผมไปเรียนโรงเรียนพระนครวิทยาลัย แล้วเปลี่ยนเป็นโรงเรียนพาณิชย์ อยู่ตรงหน้าศาลซอยบุรณะศิริ ช่วงนั้นผมกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนั้นยังไม่ถึงพ.ศ. ๒๕๐๐ ผมเจอคุณจิตร ภูมิศักดิ์ เขามาหาหนังสืออ่านที่วัด อ่านพวกใบลานเก่ง บังเอิญเป็นช่วงเวลาใกล้จะรื้อตำหนักจึงเคลื่อนย้ายพวกตู้พระธรรมทั้งหลายออกมาเพื่อที่จะทุบกระเทาะปูนฉาบใหม่ ผมเลยเปิดให้คุณจิตรมาอ่าน เพราะเรารุ่นเด็กกว่าเขา อ่านไปอ่านมา อีก๒ วันได้ข่าวว่าตำรวจไล่จับ ผมได้ความรู้จากเขามากมาย เขาแนะนำหลายอย่าง สมัยก่อนผู้คนมีใจเอื้อเฟื้อกัน

 

หลังจากจบมัธยม ผมเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ได้ ๒-๓ ปี เรียนจุฬาฯ แค่ปี ๓ แล้วออกมาทำงาน ในสมัยนั้นพวกโรงโม่หินต่างๆ เขากำลังจะดัดแปลงจากเครื่องยนต์มาใช้มอเตอร์ไฟฟ้า เราไปดัดแปลงทำให้ดีขึ้นและปลอดภัยและสะดวกขึ้น ทำงานจนเพลินจนเขาคัดชื่อออกแล้ว ทำงานดีกว่าทำในกลุ่มโรงโม่หินแถวสระบุรีกับราชบุรี

 

ได้กลับไปอยู่ที่เมืองชลฯ บ้าง ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๓ กลับไปอยู่ร่วมปี เพราะย่าไม่สบาย รกรากที่อยู่เมืองชลฯ เดี๋ยวนี้หมดแล้วแต่ยังมีอีกสายหนึ่งแต่เราไม่เจอ สายนี้เป็นพี่ชายคนโตของเตี่ยผม เขาทำประมงอยู่แถวสัตหีบ เป็นแต้จิ๋ว แซ่เฉินหรือแซ่ตั้ง ตั้งนั้นเป็นภาษาแต้จิ๋ว เฉินนั้นเป็นภาษากลาง

 

ผมยังอยู่วัดโพธิ์ ไปทำงานกลับมายังรับใช้สมเด็จฯ เพราะว่าสมเด็จไม่มีคน อยู่จนกระทั่งท่านเสีย ท่านฝากไว้กับสมเด็จป๋า ก็เตรียมตัวถูกไล่เพราะไม่ทราบมาก่อน สมเด็จป๋าเรียกเข้าไปบอกว่าสมเด็จเขาให้เอ็งอยู่กับข้า ท่านเป็นเจ้าคณะภาค ต้องไปตรวจภาค ไปแจกพัดตาลปัตรทุกปี ก็สนุกได้ติดตามท่านไปด้วย

 

ทำงานอยู่เป็นช่างไฟฟ้าตลอด เพราะเรียนมาน้อยจึงต้องค้นคว้าไขว่หาความรู้ ดูจากภาษาอังกฤษบ้างแต่อยากเรียนภาษาจีนแล้วไม่ได้เรียน เพราะรัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามประกาศให้ยุบโรงเรียนจีนที่วัดโพธิ์ โรงเรียนซ้อนกันอยู่คือโรงเรียนเทศบาลกับโรงเรียนตงมิ้นตงฮัก และโรงเรียนสอนบาลีให้พระอีกโรงเรียนหนึ่ง

 

สมเด็จป๋าท่านคิดแผนใหม่ในภายหลัง จึงตั้งสมาคมทวีธามิตร แล้วร่วมกันตั้งโรงเรียนโพธิ์พิทยากร เอาพวกมหาเก่าๆมาสอน ครูภาษาจีนมาสอนบ้าง เพิ่งมาเจ๊งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้ เพราะคนที่อยากเรียนรู้น้อยลง แต่ตอนนี้มาเฟื่องฟูอีกแล้ว เห็นเดินมาหาโรงเรียนจีน  ผมเพิ่งกลับมาอยู่เมื่อ ๑๐ กว่าปีนี้เอง เพราะมีความมุ่งหมายว่าอยากให้วัดโพธิ์เป็นมรดกโลก เพิ่งย้ายมาราว พ.ศ. ๒๕๔๒ ก่อนหน้านั้นมีศาลาหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่ง ผมอาศัยอยู่ตรงศาลาทั้งหลังเลยไม่มีครอบครัว เพิ่งจะมาเจอคุณยายอยู่กันมา ๓๐ ปีแล้ว จึงย้ายออกมาเช่าอยู่ตึกแถวของวัดด้านนอก

 

ผมทำอาชีพนี้ตั้งแต่ยังหนุ่มจนกระทั่งอายุ ๖๐ กว่า จึงเริ่มมาเก็บงานในวัด สายไฟขึงโยงไปโยงมาทั้งตัวในอาคารนอกอาคารเวียนหัวไปหมด เก็บสายไฟในวัดลงดินให้เรียบร้อยใช้เวลาร่วม ๒๐ ปีแล้วทำไฟฟ้าในตัวอาคารเดินในท่อเหล็ก ร้อยสายต่างๆ  อาคารบางหลังใช้เวลาเป็นปี ไม่ใช่จู่ๆ นึกจะวาง ต้องรอจังหวะ เขาจะซ่อมเมื่อไรหรือเขายังไม่ซ่อม แล้วจะหาเงินที่ไหน ถ้าทุบสกัดจะหลุดมาไหม ต้องมีเวลาเตรียมการ อย่างกรมศิลปากรรุ่นเก่าๆ รู้จักผมทุกคน บางทีเชิญมาคุยที่วัดตอนกลางคืนกับคุณสิทธิชัยตั้งตรงจิตร ผม แล้วมีอธิบดีกรมศิลปากร สำนักงบ สถาปนิก รวม๕-๖ คนนั่งประชุมกัน อธิบดีศิลปากรบอกว่าเอาอย่างนี้ลองทำรายละเอียดขึ้นมา ซ่อมอะไรบ้าง ทำออกมา ๑๐ ชุด จะหางบประมาณรายปีให้ บางทีได้มา ๕ ล้านบ้าง ๑๐ ล้านบ้างอธิบดีกับสำนักงบเขาช่วยวัด ไม่งั้นพัง ไม่เหลือแม้แต่โครงหลังคา

 

ช่วงหลังๆ ผมดูแลวัดเกี่ยวกับเรื่องระบบท่อระบายน้ำ เมื่อก่อนนี้ปีหนึ่งน้ำจะท่วม ๖ เดือน ท่วมครึ่งวัด แล้วทำท่อใหม่ สูบน้ำทิ้งไป เป็นพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวท่านมายกช่อฟ้า ท่านมองถนนข้างนอก ข้างในระดับตำ ท่านเจ้าคุณระวังน้ำจะท่วมวัด ทำอะไรได้ทำเสีย รับสั่งอย่างนี้ เราเริ่มเลย ขุดท่อระบายน้ำรอบวัด แล้วตั้งเครื่องสูบ เราทำมาเรื่อยทีนี้งานต่อเนื่องผูกพันกันหลังนี้ชนหลังนี้ ต้องทำต่อกันไปเรื่อย พอเสร็จจากในพุทธาวาส มาสังฆาวาสแล้วเก็บพวกสายโทรศัพท์ สายไฟ รุงรัง รถปิคอัพเกือบ ๑๐ คันที่ใช้ขน แล้วปลดทิ้งไม่ได้ใช้ ผมนำเอาสายไฟลงดินสำเร็จ แต่ก็วุ่นวายไปหมดบังเอิญมีลูกศิษย์วัดที่ดี ที่ไปเป็นผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวง เวลามีอะไรเช่น ขัดข้องช่วยจัดการให้ทีพวกนี้โทรศัพท์ แล้วแห่กันมาช่วยวัดโพธิ์นี้เลี้ยงคนได้ดี ในอนาคตข้างหน้าผมไม่รู้

 

“โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์”

... (นิราศพระแท่นดงรัง)

ในอดีตวัดโพธิ์นี้คนธรรมดาเข้าเป็นปกติไม่ได้ เพราะเปิดให้เฉพาะวันธรรมสวนะ วันโกน วันพระ ๒ วัน มี ๑๘ ศาลาที่มีจารึกอยู่ ด้านนอกมีศาลาแจกแกงเก่าของวัด เนื่องจากชาวบ้านเขาทำอาหารเป็นแกงใส่เรือมาแต่ไม่ให้ชาวบ้านเข้า เขาจะมี “เลกวัด”อยู่ราว ๒๐๐ คน วัดหลวงไม่ให้เข้าเพราะเคยมีเรื่อง

 

บ้านพักฝีพาย จำนวน ๑๒ หลัง ที่ยังคงอยู่ในซอยที่เรียกว่า "ซอยเล็ก" (ใกล้กับตลาดท่าเตียน) 

 

เลกวัดคือผู้ที่รับใช้วัด ตามแต่พระท่านจะใช้ คือมีบ้านช่องอยู่รอบๆ และหายไปตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ บริเวณที่พัก (ใกล้กับตลาดท่าเตียน) เป็นบ้านพักฝีพายมีอยู่ ๑๒ ครอบครัว เป็นห้องเล็กๆ จะพักอยู่อาศัยอยู่ตามศาลา เช่น ศาลาย้อมผ้า ศาลาผ่าฟืน ฯลฯ กลุ่มเลกวัดนั้นมาจากพวกทาสที่เลิกทาสแต่ไม่มีที่ไปจึงสมัครใจเป็นคนของหลวง มีเงินเดือนใช้จ่าย

 

ส่วนผู้ที่บวชที่วัดโพธิ์จะเป็นเชื้อพระวงศ์เสียส่วนใหญ่ เจ้าอาวาสตั้งตามพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์ ส่วนใหญ่จะเป็นสมเด็จพระสังฆราชและต้องไม่ต่ำกว่าชั้นธรรมหรือชั้นเทพ ท่านตั้งให้ในพระอุโบสถ เครื่องประดับในวัดตามอาคารศาสนสถานต่างๆ จะมีลักษณะที่โดดเด่นกว่าวัดอื่นๆ ในกรุงเทพฯ วัดโพธิ์เป็นวัดหลวงซ่อมบูรณะเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ

 

จำนวนพระสงฆ์น่าจะมีมากที่สุดถึง ๖๐๐ รูป เพราะจะมีติ้ว ๖๐๐ ติ้วแล้วจะมีคั่นสีดำไว้ที่ทุกจำนวน ๕๐ น่าจะทำติ้วไว้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ คุมไว้ที่ ๖๐๐ รูป พระเข้ามาบวชเรียนเยอะมากสมัยนั้น มาเรียนที่วัดโพธิ์ เป็นแหล่งเรียนก่อนที่จะเกิดมหาจุฬาฯที่เพิ่งทำสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นที่เรียนสงฆ์ วัดโพธิ์มีระบบเดิมมาก่อนเป็นกฎบังคับพระราชาคณะจะต้องสอนหนังสือด้วย เดิมพระผู้ใหญ่ท่านสอนเณรที่บวชอยู่ แล้วเอาลูกชาวบ้านมาสอนด้วย การศึกษาของวัดโพธิ์เลิกตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๑๗ ปีเดียวกับที่ให้ลูกทาสเป็นอิสระ

 

เมื่อถึงวันพระคนท่าเตียน แม่ค้าท่าเตียนมาขายดอกไม้จะต้องจัดดอกไม้ถวายพระแก้วมรกตมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ มาจนถึงรัชกาลที่ ๖-๗ เป็นธรรมเนียมของคนเก่า

 

วัดโพธิ์มีเรื่องของวรรณคดีจีน ไทยมาก แต่ส่วนใหญ่จิตรกรรมไทยหลังคารั่ว น้ำฝนไหลลงมาเสร็จเลย แล้วบางที่อย่างในพระอุโบสถดี ในวิหารพระนอน เดิมหลังคาโครงในเขาจะบุด้วยทองแดงเป็นแผ่น ช่วงสงครามโลกขโมยปีนขึ้นไปเลาะหมดเลย คนไม่มีอยู่ด้วย ดาดที่เขาเรียกว่าดาดตะกั่ว ดาดทองแดงคือไว้กันฝนลงมาชะภาพ ก็ทำให้ภาพจิตรกรรมเสียหายไปมาก

 

ท่าเตียนนี้มาจากที่มีไฟไหม้ ๓ ครั้งใหญ่ๆ เมื่อรัชกาลที่ ๒ไหม้แล้วถึงแปลงจากวังมาเป็นคลังสินค้า จากคลังสินค้าข้ามถนนมาเป็นของอิศรางกูร วังอยู่ตรงนั้น ถัดมาเป็นบ้านพระยารัตนาธิเบศร์ติดกับซอยท่าเตียน ถนนเข้าประตูตลาดอยู่ทางซ้าย แล้วทางนี้เป็นของเจ้าจอมมารดามรกต จากนั้นเป็นที่ของวัดก่อนที่ของศาลเจ้าราว๔ ไร่ จึงเป็นวังกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมผู้ทรงพระนิพนธ์เพลงลาวดวงเดือน ซึ่งแต่เดิมเป็นบ้านของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็งเพ็ญกุล) บิดาของเจ้าจอมมารดามรกตมาก่อน ท่านเคยทำโรงละครที่เรียกว่า “ปรินส์เทียเตอร์”

 

กลุ่มวังท่าเตียน เมื่อก่อนนี้กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์อยู่พระองค์เป็นพระชนกของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ซึ่งเป็นพระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากรัชกาลที่ ๕-๖ ลงมาแล้ว เปลี่ยนเป็นสถานีตำรวจ ท่านทำเครื่องมุก ภายหลังย้ายไปอยู่ริมน้ำหน้าตึกห้างบีกริม. ส่วนที่ทางนี้มอบให้กรมอะไรไม่ทราบ ภายหลังจึงเป็นสถานีตำรวจเมื่อรัชกาลที่ ๖พระองค์ท่านซื้อหมด บางท่านถวายคืน บางท่านยากจนก็ซื้อคืนรวมทั้งกลุ่มตระกูลกล้วยไม้เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒พื้นที่นั้นทำเป็นกระทรวงพาณิชย์ในอดีตปัจจุบันคือสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ

 

ส่วนกลุ่มพระญาติและพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๑ อยู่ทางริมวังสราญรมย์บ้าง แถวสวนกาแฟบ้าง หน้าวัดโพธิ์บ้าง กลุ่มพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒ อยู่ปะปนอีก ๓ องค์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุญชร กรมพระพิทักษ์เทเวศร์, พระองค์เจ้าขาว และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์กลาง กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์

 

ภาพริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณท่าเตียนที่เห็นออฟฟิศศาลต่างประเทศหน้าวัดโพธิ์

ครั้งรัชกาลที่ ๔ สร้างภายหลังครั้งไฟไหม้ใหญ่

 

ผู้คนก็ทำมาหากินอยู่รอบๆ วัง ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อไฟไหม้แล้วสร้างศาลารับชาวต่างประเทศและศาลต่างประเทศ เวลาฝรั่งมาหาทีเหม็น ทัศนะอุจาด เมื่อเห็นแบบตึกจากสิงคโปร์ ท่านก็สร้างตึกให้เช่าแล้วค้าขาย บ้านหนึ่ง ๔ ครอบครัวหุ้นกัน เพิ่งขึ้นตึกเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๔ จากเรือนแพหลังคามุงแฝกริมแม่น้ำทั้งนั้น สภาพคือทางฝั่งด้านนอกที่ติดริมแม่น้ำที่ดินยื่นออกไปประมาณเกือบ ๑๐ เมตรเวลาที่น้ำขึ้นน้ำลงเหมือนแผ่นดินทรุดตลาดท้ายสนมนั้นมีพวกสนมเขาออกประตูภูผาสุทัศน์ประตูนี้ประตูเดียวออกมาซื้อข้าวของ เริ่มแรกคนน้อยแต่ซื้อขายทางแถบนี้คล่องก็เลยเป็นตลาดคึกคักขึ้นมา

 

ยุคสมัยที่ต้องขายวังคือรุ่นรัชกาลที่ ๗ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลตัดเงินพวกเชื้อพระวงศ์ แต่ไม่ได้เปลี่ยนฉับพลันค่อยๆเปลี่ยน ค่อยๆ กลืนกินผู้คนไป การให้ความสำคัญแก่พระบรมมหาราชวัง แก่วัดหลวงน้อยลง

 

ลูกศิษย์วัดโพธิ์นี้ถือว่ามีดีเยอะมาก เพราะถ้าอยู่วัดโพธิ์นี้ต้องกินนอนกับพระ เช้าจัดสำรับให้พระแล้วค่อยไปโรงเรียน ครอบครัวไหนชอบพอกับพระองค์ไหนเอาเลย เพราะว่าพระที่จะมาอยู่วัดโพธิ์ต้องมีอุปัชฌาย์จากวัดโพธิ์ คู่สวดต้องพระวัดโพธิ์ ถ้าหลุดจากองค์ประกอบนี้แล้ว เขาไม่รับ

 

ปีหนึ่งๆ คนมาบวชเยอะเหมือนกัน เพิ่มขึ้น ไม่ขาด แต่ที่ขาดกลัวเรื่องเด็กที่มาอยู่วัดไม่มี เพราะต้องหาอาจารย์ จะได้สั่งสอนระบบเด็กวัดนี้เริ่มหายไป เรื่องเด็กวัด กลายเป็นเรื่องคนอุปถัมภ์วัดด้วย เพราะระบบเช่นนี้หมายถึงอนาคตของวัด

 

เมื่อถึงวัน “วัดกษัตริย์สร้าง ราษฎร์ซ่อม”

ตอนเด็กๆ ผมจำได้ในคืนเดือนเพ็ญผมชอบนั่งห้อยขาริมน้ำดูพระจันทร์ ดูเงาที่ตกทอดลงบนผิวน้ำ สวยงามมากเพราะตรงข้ามกับวัดอรุณฯ พอดี กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมหรือพระองค์เพ็ญรื้อศาลเดิมเฉพาะตัวองค์ท่าน “เจ้าพ่อกวนอู” รื้อศาลแต่เอาองค์ไว้ แต่ศาล “เจ้าแม่ทับทิม” เมื่อถูกรื้อกรมหลวงชุมพรฯ ท่านเชิญเอาไปไว้ที่วังเพราะท่านเป็นทหารเรือ องค์นี้ท่านนับถืออยู่ จึงเชิญไปไว้ที่วังนางเลิ้ง จู่ๆทายาทขายวังนางเลิ้ง ให้ใครมาเชิญเจ้าแม่ทับทิมไปไม่มีใครกล้ามาเชิญ เพราะเกิดเรื่องทุกครั้งคนที่จะมาเชิญต้องมีเหตุให้ทำไม่ได้ จนมีเขยของราชสกุลอาภากรมาบอกเล่ากับนายเมี้ยน ล่วงประพัทธ์ ซึ่งเป็นคนขับรถของสมเด็จป๋า ท่านว่าเอามาไว้วัดโพธิ์ได้ รุ่งขึ้นจึงเอาคนไปขนย้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่วันนั้นก็มีคนตาย ตกม้าตายบ้าง ถูกม้าเหยียบบ้าง

 

ตอนนี้ยังอยู่ในวัดโพธิ์ คนที่รู้ดีคือคุณสิทธิชัย ตั้งตรงจิตรนายเมี้ยน ล่วงประพัทธ์ ผม คุณแถมเป็นนายทหาร เดี๋ยวนี้คงจะเสียชีวิตไปแล้ว รวม ๔ คนที่ไปเชิญกลับ มีอยู่วันหนึ่งที่เชิญแล้วมาไว้ที่หอสมุดที่วัดในปัจจุบันนี้ ตัวอาคารยังอยู่สร้างเสร็จ พ.ศ. ๒๔๙๐ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับสมเด็จเผื่อน

 

วัดโพธิ์นี้อยู่รอดเพราะความคิดของพระสมเด็จป๋าสร้างโรงเรียนตั้งตรงจิตรของตระกูลตั้งตรงจิตรเกิดขึ้น เนื่องจากเมื่อสัก ๔๐-๕๐ ปี ที่แล้ว วัดโพธิ์เต็มไปด้วยกุฎิผุพังเยอะ วัดไม่มีเงินตอนนั้นสมเด็จป๋าท่านเป็นเจ้าอาวาสมีเงินอยู่ ๔๐ บาท ท่านจะไปซ่อมแซมอะไร งบประมาณหลังจากปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ถูกตัดแทบหมดปีหนึ่งได้สองหมื่นกว่าบาท เปลี่ยนระบอบใหม่ วัดโพธิ์เดือดร้อนแย่กว่าเขาเพื่อนเพราะว่าใหญ่ไป วัดกษัตริย์สร้าง ราษฎรซ่อม แต่เราได้อาศัยค่าเช่าจากพวกห้องแถวและการช่วยเหลือจากพ่อค้าที่ตลาดท่าเตียนต่างๆ

 

ที่โรงเรียนตั้งตรงจิตรเคยมีศาลาอยู่ ๖ หลัง แล้วอีก ๓ หลังที่อยู่ข้างใต้สุดเป็นที่สำหรับพระนวกะบวชใหม่ อีกแถวหนึ่งคณะกุฎคณะแถวพระมีพรรษาแก่เข้าหน่อยได้เข้าเรียนพวกบาลีแล้วบ้างตรงนั้นเขาจะมีกำแพงกั้น แล้วหลุดจากตรงนั้นจะมีคณะใต้สองแถวจะมีกลุ่มที่มี ประโยคสามประโยคสี่ จากตรงนั้นจะมีคณะกลางพวกนี้ประโยคสูงคือประโยคห้า ประโยคหกขึ้นไปถึงประโยคเจ็ด แต่ระหว่างแถวหัวท้ายนี้จะมีพระท่านเจ้าคุณดูแลอยู่ แต่ละแถว พอหลุดไปคณะเหนือตั้งแต่คณะหนึ่งถึงนอ ๒๓ ระดับท่านเจ้าคุณชั้นผู้ใหญ่ชั้นเทพ ชั้นธรรม ฯลฯ แล้วมีจุดสังเกตหนึ่ง ถ้าประตูที่จะขึ้นกุฏิพวกนี้จะเป็นเก๋งจีนซุ้มโบราณ ติดกระเบื้องจะมีรูปสัตว์ หมู หมา กา ไก่แต่ละประตู ยศศักดิ์คนที่อยู่กุฏิ เป็นอย่างนี้ ถ้าคณะกลางจะเป็นจั่วสามเหลี่ยม แต่ละซุ้มประตูด้านบนหรือด้านข้างหรือคอสองจะมีไก่มีนกแทบทุกประตูดูแล้วเพลิน เมื่อก่อนนี้ผมชอบเดินดู เพราะว่าพวกนี้เป็นเครื่องมงคลอย่างหนึ่ง แล้วอย่างวัดโพธิ์นี้ถ้าเข้าไปประตู ๑๖ประตู แต่ละประตูนี้เขาจะมีคำอวยพรอยู่ มียันต์ขับไล่ผี ให้คุณ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นประตูมังกรคู่หงส์ มังกรน้ำเงิน หงส์สีแดง พวกนี้ขับความอัปรีย์ทั้งหลายอย่าติดตามมาเข้าวัด แล้วด้านหลังคอสองจะเป็นลายจีนบ้างไทยบ้าง คอสองพวกนี้ เขาจะอวยพรให้ปลอดภัยจากความโชคร้ายทั้งหลาย เป็นคติจีนเยอะมาก มีประตูเดียว พอออกไปอยู่ซ้ายมือ ด้านในจะเป็นรูปน้ำเต้า ดอกโบตั๋นแต่เขาอวยพรให้คุณร่ำรวย

 

แล้วหลุดจากรื้อคณะแถวกับคณะกุฎ คณะแถว คณะกลางคณะกุฏิ หายหมดเลย ที่บรรยายมาทั้งหมด หายหมดเลย พระประท้วงกันมากเดินขบวนกัน แล้วมาสร้างโรงเรียนตั้งตรงจิตรพอลงมือสร้างสร้างไม่ทันเสร็จกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาขอเช่า เพื่อเอานักเรียนนิสิตสหกรณ์เข้ามาเรียน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ย้ายมาจากกรมที่ดินมาที่วังของพระองค์เพ็ญ มาเช่าอยู่ คณะนิสิตเกษตรสหกรณ์รุ่นที่ ๑ รุ่นที่ ๒ จบจากวัดโพธิ์ทั้งนั้น ผมเจอยังจำหน้าได้ต่อมาภายหลังได้เงินเป็นก้อนมาจากผู้บริจาครายใหญ่ โรงเรียนพาณิชยการเชตุพนฯ ช่วยให้วัดโพธิ์รอดมา ทุกวันนี้ไปตั้งที่บางมดตั้งแต่ ๑๕ ปีที่แล้ว รวมทั้งพวกห้างขายยาตราใบโพธิ์ ตราจักรพระอินทร์พวกนี้เขาช่วยเหลือวัดมาตลอด ช่วง พ.ศ. ๒๔๗๕ วัดโพธิ์ย่ำแย่มากราวปี พ.ศ. ๒๔๘๘ -๘๙ จึงเริ่มดีขึ้น ๑๐ กว่าปี ตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ราวปี พ.ศ. ๒๔๘๘ วัดปิดเงียบ พระกลัว พระเหลือสักประมาณ ๒๐-๓๐

             

(ภาพซ้าย)ซุ้มประตูที่มีชื่อห้างขายยาตราใบโพธิ์

(ภาพขวา)ห้างขายยาตราจักรพระอินทร์ ซึ่งยังเปิดร้านอยู่ที่เดิมตรงข้ามวัดโพธิ์ท่าเตียน

 

สมัยก่อนเจ้าอาวาสต่างๆ วัดมากราบหลวงพ่อว่าอย่างไรก็ตาม ขออย่าให้ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ เพราะจะต้องดูแลเยอะ ฝนตกน้ำท่วม ต้นหญ้าขึ้นเยอะ หลังคารั่ว สารพัด ทุกวันนี้ผลประโยชน์ที่วัดโพธิ์ เก็บจากฝรั่ง มีเท่านั้นแหละพอดูแลตัวเองได้อยู่ได้สบาย เจ้าอาวาสประหยัดๆ บ้าง ทุก ๖ เดือนจะส่งบัญชีให้เขาตรวจ แต่วัดเป็นคนจัดการ ไม่ได้ให้สำนักพุทธฯ เขาอยากจะขอดูให้เขาดู สมัยคุณทักษิณ สำนักพุทธให้มีหน้าที่เข้ามาดูด้วยแต่ยังไม่ได้ให้ทั้งหมด ที่สาธารณสมบัติภายหลังสำนักพุทธคืนหมด

 

หลังๆ ประวัติศาสตร์ท่าเตียนจะเลือนๆ หายไป เราฟังมาคนละเรื่องกัน ไม่มีคนสนใจว่าเป็นมาอย่างไรจนตลาดเหลือตลาดเดียว ดีที่ชาวบ้านชาวตลาดขอไว้ทัน ไม่เช่นนั้นคงมีสภาพเดียวกับที่ดิโอลด์สยาม พลาซ่า พื้นที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ อยู่ตรงถนนท่าเตียนไปจรดท่าโรงโม่ ส่วนจากตลาดท่าเตียนมาถึงปากซอยเป็นของเจ้าจอมมารดามรกต เพราะเขาขายออกไป ไม่เช่นนั้นตึกสองข้างนี้จะเหมือนกันไม่มีผิด สวยมาก ตึกนี้ยังอยู่เพราะกรรมการที่ท่าเตียนเก่งไม่ยอมให้รื้อ แต่ไล่กันมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๖-๑๗ เพราะคำอุทานของจอมพลประภาส จารุเสถียรว่า “ถ้ารื้อตึกนี้จะเห็นวัดโพธิ์ วัดอรุณฯวิวสวยมากเลย”

 

กลุ่มจีนท่าเตียนนี้ ส่วนใหญ่เป็นแต้จิ๋ว แซ่เฉิน กับแซ่แต้ มีไหหลำเพียงครอบครัว ๒ ครอบครัวเท่านั้น นอกนั้นมีกวางตุ้ง เป็นอยู่ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๐๕-๐๗ สืบได้ประมาณนั้นเพราะว่าพวกนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ตามวัง เป็นคนจีน เป็นข้าราชบริพารติดเรือไป เป็นเชื้อจีนทั้งนั้นแหละ ลงเรือแล้วเข้าไปทำงานอยู่ในวัง จะติดเรือไปเป็นกรรมกรขนของขึ้นมีสังกัดอยู่วังไหน คนจีนในย่านท่าเตียนผสมไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ยังไหว้เจ้า เหมือนกับเป็นคนที่วัฒนธรรมไทยสร้างขึ้นมาเป็นกลุ่มคนจีนที่อยู่เมืองไทย คือขอบคุณที่มีแผ่นดินอยู่ มีที่ซุกหัวนอน ถ้าไปเห็นบ้านไหนรู้เลยเชื้อสายจีน ต่อมาส่วนใหญ่เขาทำอาหาร ขายกาแฟ ในตลาดค้าขายทุกอย่าง จะเป็นถั่ว งา พวกหนังสัตว์ เป็นการขายส่งคือรับมาจากต่างจังหวัด เขาเอาเรือมาขึ้นตรงนี้ มีท่าเรือแดง แต่ท่าโรงโม่สำหรับเรือข้ามฟาก ท่าเรือแดงนี้วิ่งทางยาวกรุงเทพฯ ท่าหินวิ่งในคลองใกล้ๆคลองแถวบางพลัด บางลำพู เอาส้ม เอาผลไม้นี้มาส่ง ส่วนท่าเรือเขียววิ่งทางสุพรรณฯ

 

ตลาดขายส่งสินค้าของแห้งที่ยังเหลืออยู่ภายในตลาดท่าเตียน

 

ท่าเรือท่าเตียนหายไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ กว่าๆ นี้เอง เพราะเมื่อก่อนอาศัยเรืออย่างเดียวเข้ามาค้าขาย ตรงนี้เหมือนกับเป็นตลาดขนส่ง ขายส่ง ขายปลีก ทุกตลาดต้องมาซื้อของจากท่าเตียน ปลาเค็มหรือไม่เค็ม ทุกอย่างต้องเอาจากที่นี่หมด แม้กระทั่งพวกถั่ว เมื่อมีความเจริญขึ้น เริ่มมีรถ การเดินทางรถจะสะดวกกว่าทางน้ำ ตลาดหดตัว พอถึงในช่วงรัชกาลที่ ๖ เริ่มซบเซา พอถึงรัชกาลที่ ๗ ตลาดเริ่มฟื้นขึ้นมาหน่อย พอรัชกาลที่ ๘ มีสิ่งก่อสร้างปลูกขึ้นมาใหม่ ถนนเริ่มเป็นถนนคอนกรีต เริ่มเข้ามาตั้งแต่พระบรมมหาราชวัง ถึงรัฐสภามาเรื่อย แล้วพอถึงปลายๆ รัชกาลที่ ๘ พวกเรือที่เคยวิ่งค่อยๆ หมดไปแล้ว แจวที่ใช้แรงงานหายไปหมด สู้แรงเครื่องจักรเรือไม่ไหว แม้แต่เรือข้ามฟากยังเปลี่ยนเป็นเรือเครื่องจักร

 

ชุมชนท่าเตียนทุกวันนี้พวกเราช่วยกันดูแลดีทั้งประธานและรองประธาน ที่ฝรั่งเข้ามาเยอะๆ ก็เป็นห่วง มีคนข้างนอกเข้ามาเช่าทำโรงแรมแล้วบางทีใช้เครื่องเสียงไม่เกรงใจหนวกหูดึกดื่น เพราะตอนนั้นอาคารจะพังเจ้าของเดิมปล่อย ทางวัดเขาเลยยื่นเงื่อนไขว่าถ้าไม่ซ่อมจะยึดคืน เขาเลยหาคนมาลงทุนเลยกลายเป็นแบบนี้

 

แล้วเรื่องการใช้เสียงยังไม่ได้โวยกัน คนท่าเตียนแต่ก่อนเขาอยู่กันเงียบ บ้านเปิดทิ้งได้เลย หลังคาเรือนทั้งหมด ๕๐๐ หลัง เดี๋ยวนี้เหลือสัก ๓๐๐ หลัง แล้ว ส่วนใหญ่ทำอาชีพค้าขายกันที่ตลาดท่าเตียนบางคนลูกรับราชการอยู่ข้างบน พ่อเป็นพ่อค้าอยู่ข้างล่าง

 

คนย่านเก่า : จดหมายข่าวมูลนิธิเล็ก-ประไพ  วิริยะพันธุ์ ฉ.๑๑๑ (ก.ค.-ก.ย.๒๕๕๙)

 

อัพเดทล่าสุด 3 พ.ค. 2561, 14:09 น.
บทความในหมวด
ที่ตั้งมูลนิธิ ๓๙๗ ถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐
โทรศัพท์ ๐-๒๒๘๑-๑๙๘๘ , ๐-๒๒๘๐-๓๓๔๐ โทรสาร ๐-๒๒๘๐-๓๓๔๐
อีเมล์ [email protected]
                    
Copyright © 2011 lek-prapai.org | All rights reserved.