.../ต่อ
ออกจากโฮจิมินห์ ซิตี้ (Ho Chi Minh City) ทางตอนใต้ไปยังฟานราง (Phan Rang/Thap cham) ซึ่งอยู่ทางภาคกลาง จะผ่านเมืองฟานเทียต ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศ บริเวณสองข้างทางของเมืองในภาคกลางจะมีการจัดการพื้นที่ริมถนนดีกว่าเมืองทางสามเหลี่ยมปากน้ำโขง (Mekong Delta) ลักษณะอีกสิ่งหนึ่งที่พบเห็นในพื้นที่ภาคกลางของเวียดนาม ก็คือ อุปกรณ์จับปลาจะมีลักษณะคล้ายกาละมังแต่สานด้วยไม้ไผ่ ซึ่งไม่พบในเขตDelta ถือเป็นวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น
ตลอดเส้นทางการเดินทางจะพบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของฟานเทียตและเมืองโดยรอบจะมีการทับถมของทรายจนเกิดเป็นทะเลทราย (Sand dune) การสร้างบ้านเรือนของชาวบ้านจะตั้งอยู่หลังsand dune เพราะ sand dune จะเป็นแนวช่วยกันลมพายุ ชานเมืองฟานเทียตจากการสังเกตจะปลูกมันสำปะหลัง ถั่ว แก้วมังกร และเลี้ยงวัว
ทั้งนี้ขณะที่เดินทางผ่านเมืองฟานเทียต จะเริ่มเห็นปราสาทและสุสานจามบนภูเขา และที่สูงบ้างแล้ว เพราะที่เมือง ฟานเทียต ฟานราง ยารัง ดานัง จะมีกลุ่มชนจามอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
เส้นทางไปฟานราง จะพบเห็น Sand dune ตลอดสองข้างทาง
![]() |
![]() |
โดยชาวบ้านจะตั้งบ้านเรือหลัง Sand dune เพื่อให้ Sand dune ป้องกันลมพายุ
เมืองฟานราง (Phan Rang/Thap Cham) จังหวัดบิ่ญ ถ่วน (Binh Thuan)
จามเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมใกล้เคียงกับกลุ่มชาติพันธุ์ในมาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยในอดีตชาวจามได้ก่อตั้งอาณาจักรจามปา ซึ่งในอดีตพื้นที่ของอาณาจักรจะครอบคลุมเมืองเว้ กว่างนาม ถัวเถียน ฟานราง และญาจาง ของประเทศเวียดนามในปัจจุบัน
อาณาจักรจามปาเคยเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ มีความเจริญรุ่งเรืองช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒-๑๕ ด้วยอาณาเขตที่ติดทะเล ชาวจามจึงมีความสามารถเดินเรือและค้าขาย ไปตามหมู่เกาะ และสามารถไปไกลถึงแถบตะวันออกกลาง รวมถึงประเทศจีน ส่วนใหญ่สินค้าจะเป็นเป็นผ้าไหม ไม้หอม เครื่องปั้นดินเผา ปัจจุบันคือบริเวณเมืองดานังเมืองท่าในตอนกลางของเวียดนาม มีเมืองหลวงชื่อ วิชัย เดิม ปัจจุบันคือเมืองบิญดิ่ญ มีโบราณสถานกระจัดกระจายอยู่ตามภูเขาต่างๆในเวียดนาม กระทั่งในปี ค.ศ. ๑๔๗๑ อาณาจักรจามปาสู้รบกับชนชาติเวียดนามเดิม ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ทำให้อาณาจักรจามปาต้องล่มสลาย ชาวจามส่วนใหญ่ต้องอพยพลงไปใต้ปัจจุบันมีชาวจามอาศัยอยู่ทางตอนกลางของ เวียดนาม มีที่นิงห์ถ่วน บิงห์ถ่วน เตยนินห์ โฮจิมินห์ ส่วนทางใต้จะอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากที่เมืองอันยาง
คนจามในแถบภาคกลางส่วนใหญ่จะอยู่ในจังหวัดบิ่งห์ ถ่วน (Binh Thun) และนิงห์ ถ่วน (Ninh Thun) ที่จังหวัดบิ่งห์ ถ่วน มีการเรียนการสอนภาษาจามผ่านโทรทัศน์ของจังหวัด ส่วนการเรียนภาษาจามและภาษาเวียดนาม ที่โรงเรียนจะสอนภาษาเวียดนามให้ทั้งคนเวียดและคนจาม ส่วนภาษาจามจะมีเรียนเฉพาะกลุ่มนักเรียนจามเท่านั้น
จามในเมืองฟานราง ที่คณะได้ศึกษาเยี่ยมชมมีทั้งกลุ่มจามที่ประกอบอาชีพทอผ้า และทำเครื่องปั้นดินเผา โดยจะมีการประกอบอาชีพเช่นเดียวกันเกือบทั้งหมู่บ้านหากมีทุน
คนจาม
ความเป็นมาทางศาสนาโดยสังเขป
เริ่มจากการก่อตัวกลุ่มจามดั้งเดิม ยังชีพด้วยการเพาะปลูก การประมง การค้าทางทะเล จนต่อมาได้รับศาสนาฮินดู เป็นพวกจามบ่าลามน และเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ ๗ จึงเริ่มมีแว่นแคว้นจามหรืออาณาจักรจามปา จนถึงประมาณศตวรรษที่ ๑๔ จึงเริ่มมีศาสนาอิสลามเข้ามา แต่ก็ได้ประนีประนอมกับอิทธิพลท้องถิ่นดั้งเดิมและอิทธิพลฮินดู จนกลายเป็นศาสนาบานี ซึ่งมีทั้งคนชั้นสูง พ่อค้า และประชาชนจำนวนมากนับถือ (การนับถือบานีเป็นการหันมานับถือศาสนาอิสลามของกลุ่มจามฮินดูในช่วงที่อิสลามแผ่อิทธิพลมาใหม่ๆ) ดังนั้นจึงถือว่าบานิเป็นอิสลามที่เก่าแก่ที่สุด ต่อมาจึงมีศาสนาอิสลามแบบซาฟีอี (Saphii) แล้วถึงช่วงปลายทศวรรษ ๑๙๕๐ จึงมีการแพร่ศาสนาอิสลามแบบวาฮิบี (Wahabi)
จามกับโลกมาเลย์ (Malay World)
โลกมาเลย์ (Malay World) เป็นความคิดของวิชาการมาเลเซียที่เชื่อถึงความเป็นหนึ่งเดียวของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลมลาโยโพลีนีเชียน ตั้งแต่ฟิลิปปินส์ บรูไน บอร์เนียว อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ภาคใต้ของประเทศไทย ภาคใต้ของกัมพูชา และภาคใต้ของเวียดนาม ซึ่งไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เพราะชาวจามมุสลิม ยังมีอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่ต่างไปจากพวกมาเลเซียมากพอสมควร แต่ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าชาวจามมุสลิมมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับมาเลเซียมาก โดยเฉพาะในด้านศาสนา การศึกษา และอาชีพในโลกสมัยใหม่
จามกัมพูชา
เป็นจามกลุ่มใหญ่ซึ่งส่วนมากอยู่ที่กัมปอตและกัมปงจาม มีจำนวนมากกว่าคนจามในเวียดนาม นับถือทั้งศาสนาฮินดู บานี และอิสลาม
หมู่บ้านจามทอผ้า (My Nghiep Village)
สถานที่ที่เข้าไปศึกษาเยี่ยมชมแห่งแรกคือศูนย์แสดงผ้าทอจาม ซึ่งเป็นศูนย์ทอผ้าเอกชน ตั้งขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เดิมกิจการทอผ้าเป็นกิจการภายในครัวเรือน ทำมาตั้งแต่สมัยรุ่นแม่ ลายผ้าที่มีลักษณะเด่นของศูนย์แสดงผ้าทอดังกล่าว คือ ลายมุน ลายพระศิวะทรงนกยูง และลายปราสาทจาม
ศูนย์แสดงผ้าทอจามที่ My Nghiep Village
(ช่วงเวลาที่เข้าไป ทางศูนย์ฯกำลังทำการปรับปรุง)
สถานที่ทอผ้าแห่งที่สองที่เข้าไปเยี่ยมชม เป็นชาวจามที่มาจากโพนาคา (Po Naga) เหตุที่ทราบ เพราะเจ้าบ้านได้กล่าวว่าจะไปร่วมงานคาเต้ (Kate คือ งานปีใหม่ฮินดู) จึงรู้ว่าเธอเป็นจามที่นับถือศาสนาฮินดู (จามในเมืองฟานราง มีนับถือหลายศาสนา ทั้ง ฮินดู อิสลาม บานี ฯลฯ)
ลักษณะการทอผ้า จะต้องมีผู้ทอ ๒ คน เพื่อง่ายต่อการขึ้นรูป
จามโพนาคาเป็นจามจากภาคกลาง ซึ่งถือว่าเป็นจามหลวง เป็นจามสายดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรจามปา (ในขณะที่คนจามที่อาศัยแถบสามเหลี่ยมปากน้ำโขงถือว่าเป็นจามสายใหม่) จามภาคกลางเหล่านี้นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “จามบ่าลามน” อาชีพโดยทั่วไปของชาวจามบ่าลามน จะทำการทอผ้า และทำเครื่องปั้นดินเผา เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีทุนรอนในการประกอบกิจการมากกว่าจามมุสลิมหรือจามบานี
หมู่บ้านจามเครื่องปั้นดินเผา (Bau Truc Village)
การทำเครื่องปั้นดินเผา
จากการพูดคุยกับคุณยายเจ้าของกิจการเครื่องปั้นดินเผา ทำให้ทราบถึงวิธีการทำเครื่องปั้นดินเผา กล่าวคือ ดินที่นำมาทำจะอามาจากพื้นที่นา ห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๓ กิโลเมตร โดยนำดินนาที่ได้ผสมกับทรายพอประมาณ แล้วทำการคลุกนวด จากนั้นจึงนำมาปั้นได้
การปั้นหม้อเพื่อให้ขึ้นรูป ผู้ปั้นจะต้องหมุนรอบแท่น คือ เสน่ห์อย่างหนึ่งของปั้นหม้อที่ Bau Truc Village
การปั้นหรือการขึ้นรูป จะนำดินขึ้นบนแท่น ผู้ปั้นจะจับดินพร้อมกับหมุนตัวเองรอบแท่น โดยที่แท่นดังกล่าวยังคงอยู่นิ่งกับที่ การปั้นที่บ้านแห่งนี้ต่างจากการปั้นในที่อื่นๆ ที่จะใช้แป้นหมุนอัตโนมัติ (แจกันขนาดใหญ่ จะใช้เวลาปั้นถึง ๒ วัน)
นำเครื่องปั้นไปตากแดด
การเผาเครื่องปั้นจะต้องเผาที่โล่งแจ้ง แดดจัด และไม่มีลม
เมื่อเผาเสร็จจึงทำการพ่นสี ภาชนะเครื่องปั้นที่ได้จึงมีสีดังภาพ
เมื่อขึ้นรูปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงนำไปตากแดด ประมาณ ๓ วัน แล้วทำการเผากลางแจ้ง เอาฟืนมาวางเอาฟางมาสุม เมื่อเผาแล้วภาชนะที่ได้จะมีลักษณะแข็ง (วันที่จะทำการเผาแดดต้องจัดและต้องไม่มีลม) จากนั้นทำการใช้ไม้(ต้นจันฝาด)แช่ในน้ำประมาณ ๓ วัน แล้วพ่น สีของภาชนะที่ได้จะออกสีแดงๆ ภาชนะที่ได้จะนำไปเป็นสินค้าส่งไปยังเมืองใหญ่ๆ เช่น ฮานอย เว้ ดานัง โฮจิมินห์ เป็นต้น ทั้งนี้การประกอบกิจการทำเครื่องปั้นดินเผาทางรัฐหรือหน่วยงานราชการไม่ได้มาช่วยเหลืออะไร แต่ได้ให้การสนับสนุน เช่น จัดงานแสดงสินค้า เป็นต้น
วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ (จามบ่าลามน)
จามจะแต่งงานกับชนจามด้วยกัน สินสอดฝ่ายชายจะเป็นผู้สู่ขอและออกสินสอดเป็นทอง ๑ บาท รวมถึงค่าเสื้อผ้าชุดแต่งงาน ส่วนฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายจัดเลี้ยงอาหาร ทั้งนี้ชาวจามจะไม่แต่งงานข้ามศาสนา อย่างไรก็ตามคนจามต่างศาสนาในชุมชนเดียวกันยังมีการติดต่อพูดคุยกันฉันมิตรอยู่เสมอ จามในภาคกลางจะเป็นจามที่นับถือศาสนาพราหมณ์มากกว่าอิสลาม ทางด้านการประกอบพิธีศพ ชาวจามบ่าลามนจะทำการเผา ส่วนจามมุสลิมจะนำไปฝัง (จะกล่าวต่อไปข้างหน้า...)
ผังบ้านตามประเพณีจาม (จามบ่าลามน)
ลักษณะบ้านจามจะมีการจัดเพื่อแบ่งพื้นที่หลักๆ เป็นสามส่วนคือ บ้านของผู้ใหญ่ จะเรียกว่า “ทัมตรง” บ้านของหญิงที่จะแต่งงาน หรือ เรือนหอ เรียกว่า “ทัมเยอ” และบ้านสำหรับไหว้บรรพบุรุษ หรือ หอบรรพบุรุษ เรียกว่า “ทัมเยา” แต่ปัจจุบันผังบ้านเรือนของชาวจามได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้เพราะมีการปรับเพื่อใช้เป็นพื้นที่ค้าขายเป็นหลัก
บ้านจามวันลัม
บ้านจามวันลัม เป็นบ้านจามดั้งเดิมมีนับถือทั้งอิสลามและบานี (จามที่รับถืออิสลาม คือผู้ที่เคยนับถือศาสนาบ่านิก่อนที่รับศาสนาอิสลามขนานแท้ หรือสายสุหนี่ เมื่อปี ค.ศ.๑๙๕๘ หรือ พ.ศ. ๒๕๐๑ โดยมีต่วน (ผู้ที่เคยไปอาหรับ) จากเจาด๊กมาสอนศาสนา แล้วพาไปเรียนที่เจาด๊ก ต่อมาในปี ค.ศ.๑๙๙๖ หรือ พ.ศ.๒๕๓๙ มีพวกแอฟริกาใต้มาเผยแพร่โดยมีทุนจากแอฟริกาใต้สนับสนุน รวมทั้งส่งลูกหลานไปเรียนศาสนาที่แอฟริกาใต้ บางส่วนไปเรียนในตะวันออกกลาง เมื่อแรกรับศาสนาอิสลาม มุสลิมใหม่ยังคงอยู่ปะปนกับพวกบ่านิ จนถึงปีค.ศ. ๑๙๖๘ หรือ พ.ศ. ๒๕๑๑ จึงได้แยกมาตั้งหมู่บ้านวันลัม ๔ )
![]() |
![]() |
ร่วมพูดคุยกับจามมุสลิมที่บ้านวันลัม ๔
ที่หมู่บ้านวันลัม ๔ มีมัสยิดประจำชุมชน คือมัสยิดจามิมุนเนะมะ เดิมเป็นมัสยิดขนาดเล็กที่ชาวบ้านร่วมกันสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. ๑๙๖๐ (พ.ศ. ๒๕๐๓) (ก่อนหน้าที่จะร่วมกันสร้างมัสยิด ชาวบ้านจะทำพิธีที่บ้านของผู้นำ) ต่อมากลุ่มทุนจากแอฟริกาใต้ได้ให้ทุน ๖๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อร่วมสร้างมัสยิดแห่งใหม่ โดยมีเงินบริจาคจากชาวบ้านและกลุ่มมุสลิมในชุมชนห่างไกล เช่นที่เจาด๊กร่วมด้วย มัสยิดนี้ได้เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
![]() |
![]() |
มัสยิดจามิมุนเนะมะ มัสยิดประจำบ้านจามวันลัม ๔
ประชากรที่บ้านจามวันลัม ๑-๔มีถึง ๑,๒๐๐ ครัวเรือน(๒๐ ตระกูล) ส่วนที่บ้านวันลัม ๔ จะเป็นจามมุสลิม ๕๗ ครัวเรือน ลูกหลานที่เกิดที่นี่ส่วนใหญ่ยังอาศัยอยู่ในชุมชน ประกอบอาชีพทำนา บางคนไปทำไร่บนเขา ทำโรงงาน บางส่วนที่เรียนในระดับสูงสายวิชาสามัญมักจะไปรับราชการ เป็นหมอ วิศวกร ในเมืองใหญ่ เช่น โฮจิมินห์ ซิตี้
ไม่เพียงชาวจามที่ในหมู่บ้านแถบเมืองฟานรางนี้เท่านั้น ยังมีกลุ่มจามที่ชื่อว่า “จามฮารอย” หรือ “ฮาไร” อีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มจามดั้งเดิม คือไม่รับศาสนาทั้งฮินดูและอิสลาม อาศัยอยู่แถบฟูเอียน ใกล้กับเมืองยารัง จามกลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลจากเขตภูเขา ภาษาทั่วไปที่เราฟังได้ จึงมีเพียงแค่ ๓๐%
เครือข่ายของมุสลิม
มุสลิมในเวียดนามก็เช่นเดียวกับมุสลิมในประเทศต่างๆ ที่จะมีเครือข่ายภายในทั่วประเทศ โดยจะเป็นเครือข่ายที่จะประสานความร่วมมือกันและกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ประชาคมมุสลิม โดยเครือข่ายนี้จะอยู่ในการควบคุมของรัฐบาลอีกชั้นหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีการติดต่อกับมุสลิมในมาเลเซีย กัมพูชา และไทย อย่างสม่ำเสมอ
การตั้งชื่อในภาษาต่างๆ
ปกติคนจามจะมีสองชื่อ ชื่อหนึ่งเป็นภาษาเวียด อีกชื่อหนึ่งเป็นภาษาจาม เช่นหลานชายในบ้านที่ไปสัมภาษณ์ มีชื่อภาษาจามว่า “โมฮัมหมัด” (อิทธิพลอาหรับ) และมีชื่อในภาษาเวียดนาม ว่า “ซือ ฟะ” ส่วนคุณยายในบ้านชื่อจามว่า “ อัปสรา” ชื่อเวียดนาม ว่า “กิ่ว ลี ซาน”
การออกไปศึกษาต่างประเทศ
ส่วนมากเป็นการส่งลูกหลานผู้ชายไปเรียนศาสนา เพื่อให้กลับมาเป็นต่วนหรืออิหม่าม โดยในสมัยแรกจะนิยมส่งไปเรียนในตะวันออกกลาง ในระยะหลังได้ส่งไปเรียนในแอฟริกาใต้ เนื่องจากมีทุนสนับสนุนจากประเทศดังกล่าว และในช่วงหลังๆนี้เองที่เริ่มมีนักเรียนหญิงไปเรียน โดยนักเรียนหญิงจะเรียน ๕ ปี นักเรียนชายเรียน ๗ ปี ระหว่างเรียนจะได้กลับมาเยี่ยมบ้านเป็นระยะ การส่งนักเรียนไปเรียนต่อนี้นักเรียนจะต้องสำเร็จในระดับมัธยมปลายจึงจะสมัครได้ แล้วประเทศปลายทางจะเป็นผู้คัดเลือก นอกจากนี้ยังมีบางคนไปเรียนวิชาศาสนาในมาเลเซีย
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและศาสนา
รัฐบาลหรือพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามถือว่า ให้เสรีภาพแก่บุคคลในการเข้ารับนับถือศาสนาต่างๆ แต่รัฐก็จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องเอาใจใส่ ไม่ใช่ให้เสรีภาพแล้วปล่อยปะละเลยเช่นในสมัยรัฐบาลเวียดนามใต้ ผู้นำศาสนากลุ่มต่างๆ ในเวียดนามจะต้องได้รับการอบรมจากรัฐในเรื่องความสามัคคีและการจรรโลงประเทศชาติ
หากกลุ่มศาสนาใดต้องการจะสร้างศาสนสถานของตน กลุ่มนั้นๆ จะต้องแจ้งขออนุมัติและแจ้งค่าใช้จ่าย เพื่อให้รัฐรับรอง เมื่อทำพิธีเปิดศาสนสถานหรือมีงานบุญอื่นๆ ในทางศาสนาจะต้องเชิญเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นให้มาร่วมด้วย ทั้งนี้รัฐไม่สามารถที่จะให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการก่อสร้างได้ เพราะรัฐไม่มีงบประมาณรองรับอย่างเพียงพอ หากรัฐช่วยศาสนสถานที่ใดที่หนึ่ง ที่อื่นๆ ก็จะร้องขอจนกลายเป็นว่าทุกแห่งต้องมาขอความช่วยเหลือจากรัฐ แต่หากคนไม่ว่าในกลุ่มชาติพันธุ์ใดหรือศาสนาใดต้องการความช่วยเหลือในเรื่องพื้นฐาน เช่นที่ดินเพื่ออยู่อาศัยหรือทำกิน หรือเรื่องรายได้ รัฐจะต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียม
หากมีอาคันตุกะจากต่างประเทศมาเยี่ยมเยียนกลุ่มศาสนาใด แม้จะเป็นคณะเพียง ๒-๓ คน กลุ่มศาสนาที่เป็นผู้ต้อนรับก็จะต้องแจ้งรายงานให้ฝ่ายรัฐได้รับทราบ เพื่อป้องกันการเข้ามาของกลุ่มก่อการร้ายหรือผู้ที่จะมาบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ซึ่งถ้าอาคันตุกะนั้นเป็นพวกจาริกแสวงบุญหรือพวกตารวะ เจ้าภาพจะต้องแจ้งรัฐหรือองค์กรศาสนาที่รัฐอุปถัมภ์ล่วงหน้า แล้วองค์กรนั้นจะจัดล่ามคอยดูแล และเมื่ออาคันตุกะผู้นั้นเดินทางมาถึงท้องที่ใด กลุ่มศาสนาในท้องถิ่นนั้นจะต้องแจ้งแก่รัฐภายใน ๒๔ ชั่วโมง (ตารวะ คือการเรียนรู้แลกเปลี่ยนทางศาสนาในท้องถิ่นต่างๆ ในระยะเวลา ๓ วันใน ๑ เดือน หรือ ๔ เดือนใน ๑ ปี ในทางปฏิบัติเป็นการจาริกมัสยิดในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะมัสยิดในกัมพูชาและประเทศไทย) (ศูนย์ตารวะจะตั้งอยู่ที่โฮจิมินห์ ซิตี้)
อาจารย์ผู้ทำพิธีของบานี (Bani)
อาจารย์ผู้ทำพิธีในศาสนาบานี (Bani)
เป็นอาจารย์ประจำตระกูลที่สืบทอดจากคนรุ่นเก่า ใช้ภาษาและอักษรอาหรับแบบดัดแปลง กลุ่มอาจารย์เหล่านี้นับว่าเป็นผู้ที่มีสถานะสูงในสังคม เพราะในการประกอบพิธีกรรมตั้งแต่เกิด จนตายจะต้องเชิญอาจารย์เหล่านี้เป็นผู้ประกอบพิธีกรรม อาจารย์จะคอยห้ามไม่ให้พวกบานีไปทำพิธีฮัจญ์ที่นครมักกะห์ ซาอุดิอาระเบีย หากผู้ใดไปร่วมพิธีจะถูกห้ามเข้าชุมชน เช่นเดียวกัน อาจารย์ผู้นำทั้งหลาย หากไปพิธีฮัจญ์ก็จะสูญเสียสถานภาพที่สำคัญนี้ไปโดยปริยาย
ตำแหน่งอาจารย์ คือผู้ที่เรียนวิชาศาสนาจากบรรพบุรุษ แล้วทำพิธีบวช ในทุกตระกูลจะต้องมีสมาชิกตระกูลที่เป็นอาจารย์ อาจารย์ที่อาวุโสที่สุดในชุมชนจะเป็นอิหม่าม สูงจากอิหม่ามจะเป็นกูรู ซึ่งมีหน้าที่ดูแลศาสนิกบานี ทั้ง ๔ ชุมชน การแต่งตั้งกูรูนี้จะอาศัยจากการเลือกของอิหม่ามและประชาชน เมื่อเลือกแล้วจะต้องรายงานให้เจ้าหน้าที่รัฐประจำท้องถิ่นได้รับทราบ รวมทั้งจะได้ทำหนังสือแสดงความยินดี
หากในตระกูลใดไม่มีอาจารย์มาประกอบพิธี อิหม่ามหรือกูรูจะมาประกอบพิธีกรรมให้ ผู้นำทางศาสนาเหล่านี้จะทำหน้าที่ทั้งผู้นำในพิธีกรรม ผู้ปกครอง และผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง
กูรู อิหม่าม หรืออาจารย์ จะมีเครื่องแต่งกายคือใช้กางเกงและเสื้อยาวสีขาวคลุมถึงข้อเท้าคล้ายพราหมณ์ ที่กางเกงจะมีขลิบสีแดงที่ข้อเท้า ไว้ผมยาวและใส่หมวกทรงคล้ายหมวกกะลาสีสีขาวมีพู่ห้อย และจะสะพายกระเป๋าเล็กๆสามใบ สำหรับใส่เงินและหมากพลู
สถานะของกูรู อิหม่าม หรืออาจารย์ ที่ทุกคนจะต้องพึ่งพา เพราะเป็นผู้นำทางพิธีกรรมที่สามารถประกอบสื่อสารกับพระเป็นเจ้าได้เพียงผู้เดียว นอกจากนั้นยังมีสถานะเป็นผู้ปกครอง ดังนั้นในอีกทางหนึ่งความสูงส่งและผลประโยชน์จำพวกเงินทองจึงตามมาได้โดยง่าย เช่นเมื่อประกอบพิธีกรรมครั้งหนึ่งจะมีผู้ถวายปัจจัยทุกครั้ง และเมื่อถึงเทศกาลรอมฏรจะต้องมีผู้ถวายภัตตาหารตามประเพณี
ธรรมเนียมประเพณีต่างๆ
ในชุมชนจามวังลัม มีทั้งจามมุสลิมและจามบานีอยู่ร่วมกัน ประเพณีและพิธีการต่างๆจึงแตกต่างกัน แต่ก็อยู่อาศัยด้วยกันได้อย่างสันติ
จามมุสลิม
จามบานี
ประเพณีทั่วไป
การเกิด
ในส่วนของบานีเด็กแรกเกิด จะมีพิธีอวยพรโดยอาจารย์ของตระกูลหรืออิหม่าม ทั้งนี้จะมีพิธีอะซาร์ ซึ่งจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ไม่บังคับ ในส่วนของเด็กหญิง ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง อายุ ๑๔ ปี จะมีแต่ชื่อภาษาเวียดนาม ยังไม่มีชื่อทางศาสนา พออายุ ๑๕ จะมีการตั้งชื่อทางศาสนาให้ โดยต้องมีการเชือดไก่เลี้ยงด้วย ส่วนเด็กผู้ชายจะมีพิธีคล้ายกับสุหนัตแต่ไม่ไม่ขลิบปลายอวัยวะเพศให้เลือดออก
งานแต่งงาน
ในส่วนของมุสลิมการแต่งงานยังคงรักษาธรรมเนียมที่ให้ฝ่ายชายเข้าบ้านฝ่ายหญิงพร้อมกับให้สินสอด ส่วนฝ่ายหญิงจะจ่ายค่าจัดเลี้ยง ลูกสาวคนสุดท้องจะต้องอยู่กับพ่อแม่ แม้มีลูกเขยก็ต้องอยู่ร่วมกัน (ผิดจากสังคมมุสลิมตะวันออกกลางที่ผู้ชายจะเป็นใหญ่ แล้วฝ่ายหญิงต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย) ทั้งนี้ตามความเชื่อของจามมุสลิมจะให้ความสำคัญกับการแต่งงาน และเป็นค่านิยมที่หญิงจามมุสลิม จะเลือกชายที่มีหน้าที่การงานที่มั่นคง เช่น วิศวกร ข้าราชการ ฯลฯ
ทางด้านบานี งานแต่งงานจะเริ่มจากการหาฤกษ์ โดยในวันเดียวกันอาจแต่งได้หลายคู่ เงินค่าสินสอด การจัดเลี้ยงและการอยู่อาศัยจะเหมือนกับทางจามมุสลิม ทั้งนี้เมื่อเสร็จพิธีแล้วทั้งสองฝ่ายจะต้องแบ่งทรัพย์สิน โดยแบ่งส่วนหนึ่งเข้ากองกลาง ในเรื่องการแต่งงานชาวจามบานีเห็นว่าเป็นสิ่งสิ้นเปลือง และค่านิยมในการเลือกคู่ครอง หญิงจามบานีจะเลือกชายที่ขยันทำมาหากิน เป็นสำคัญ
งานศพ
ก่อนเทศกาลรอมฎรในทุกปี จะต้องมีการทำความสะอาดสุสาน สุสานจามได้แบ่งพื้นที่เป็นสามส่วนได้แก่ สุสานจามจั๊ต คือพวกที่ยังไม่ได้รับศาสนา สุสานจามบานี และสุสานจามมุสลิม โดยแบ่งเขตรั้วเอาไว้ พื้นที่ฝังศพของคนจามจะอยู่ในเขตทะเลทราย (Sand dune) ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ศพสะอาด การฝังศพในบริเวณเดียวกันนี้น่าจะสะท้อนถึงสำนึกร่วมในความเป็นคนถิ่นเดียวกัน แม้จะนับถือศาสนาต่างกัน
ป้ายทางเข้าสุสานชาวจาม ภายในสุสานมีการฝังทั้งจามอิสลาม จามบานี และจามจั๊ต
สุสานของจามบานี จะฝังไม่มีป้ายชื่อ หรือวันเกิดวันตาย จะมีเพียงหิน ๒ ก้อนวางเป็นหมุดศีรษะและปลายเท้า
สุสานของจามมุสลิม จะมีแผ่นสลักชื่อ วันเกิดวันตาย
แต่ทั้งนี้ทั้งจามบานีและจามมุสลิมมีความเชื่อเช่นเดียวกันที่ว่า นำศพฝังที่ทะเลทราย (Sand dune) จะทำให้ศพสะอาด
ชาวบานีจะมีอาจารย์ประจำตระกูลเป็นผู้ทำพิธีให้ โดยจะต้องทำเรือนไว้ศพเพื่อทำพิธีสวด เสร็จแล้วจึงอาบน้ำศพก่อนนำไปฝัง เมื่อจะฝังต้องแต่งกายให้ศพด้วยผ้าสีขาว แล้วห่อด้วยผ้าสีขาวอีกสองชั้น หากเป็นผ้าทอจามได้จะดีมาก แล้วนำศพไปฝังที่สุสาน การฝังศพนั้นจะต้องให้ศพนอนหันศีรษะไปทางทิศเหนือ และให้ศพนอนตะแคงหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เพื่อให้ศพหันหน้าไปทางนครเมกกะห์ ศพจะมีการซ้อนกันมากกว่าสองศพ บนหลุมศพจะวางเพียงหินสองก้อนตามศีรษะและเท้าของศพ จะไม่เขียนชื่อ วันเกิดและวันตาย เพราะเชื่อว่าอาจจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีนำใช้ในทางไสยศาสตร์ ทั้งนี้อาจารย์ผู้ที่ทำหน้าที่พิธีกรรมให้จะได้รับค่าทำพิธีศพเป็นทอง ๑ สลึง (การไหว้บรรพบุรุษของจามบ่านิจะทำพิธีที่บ้าน เชิญอาจารย์ผู้ทำพิธีมาสวด และเชิญญาติพี่น้องที่สนิทเท่านั้น จะต้องมีการฆ่าวัวควายเพื่อทำพิธี ไม่มีเงินก็จะต้องเก็บเงิน แม้จะนานถึง ๑๐- ๒๐ ปีก็ต้องทำ)
ส่วนมุสลิมทั่วไปทำการใส่หีบแล้วฝังทันที ที่ฝังจะมีมีการเขียนวันเกิดและวันตายไว้บนหลุมฝังศพ และไม่มีการฝังศพซ้อนกัน จากนั้นจะทำการสวด ๓ วัน ๗ วัน ๓๐ วัน และ ๑ ปี
ในขณะที่พวกบ่าลามน (พราหมณ์ – ฮินดู) จะตั้งศพ ๓ วันแล้วเผาศพในพื้นที่ชุมชน จากนั้นจะเก็บกระดูกหน้าผากใส่โหลไปฝังกับหลุมบรรพบุรุษ ซึ่งในยุคก่อนพวกบ่าลามนจะต้องทิ้งศพให้เน่าแล้วจึงเผา
นี่คือ เรื่องราววิถีชีวิต ความเชื่อโดยรวมของชาวจามในหมู่บ้านวันลัม ที่แต่เดิมนับถือบานี (อิสลาม ) เหมือนกัน หาแต่เมื่ออิสลามสายสุหรี่เข้ามาเผยแพร่ กลุ่มคนจำนวนหนึ่งจึงหันมานับถือศาสนาอิสลามสายสายดังกล่าวแทน แต่ด้วยการอยู่ร่วมกันมาแต่ดั่งเดิม การเป็นจามมุสลิมและจามบานีก็ยังมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน หรือการประกอบพิธีกรรมบางอย่าง จะมีต่างกันก็ในส่วนของการนับถือศาสนาเป็นหลัก
ร่วมพูดคุยกับจามบานีที่บ้านวันลัม
ออกจากหมู่บ้านจามวันลัม ทางคณะได้ศึกษาปราสาทจามในเมืองฟานรางที่สำคัญอีก ๒ แห่ง คือ ปราสาทโปโลเม่ และปราสาทโปรางกะราย ปราสาททั้งสองเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่ชาวจามทั้งบ่าลามนและบานี ยังไปเคารพสักการะและร่วมพิธีกรรมในงานประเพณีที่สำคัญอยู่เสมอ
ปราสาทโปโลเม่ (Porome)
ตำนาน
เป็นปราสาทที่เชื่อว่าสร้างถวายกษัตริย์โปโลเม่ ซึ่งเป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายของจามปา ตามตำนานกล่าวว่าพระองค์ทรงนับถือศาสนาฮินดู ครองราชย์อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ มีพระมเหสีสองพระองค์ องค์แรกคือพระนางพันจิ เป็นหญิงจามนับถือศาสนาอิสลามบานิ ไม่มีโอรสธิดา ต่อมาทรงอภิเษกกับพระนางพันจัน มีโอรส ๒ คน คนโตแต่งงานกับคนกึงห์ ส่วนคนเล็กแต่งงานกับคนจาม ภายหลังกษัตริย์โปโลเม่ได้ทำศึกกับไดเวียด ได้จ้าหญิงเจ๊เฮิง ธิดาจากไดเวียดมาเป็นมเหสีอีกองค์หนึ่ง ปรากฏว่ากษัตริย์โปโลเม่ทรงหลงรักพระนางเจ๊เฮิงมาก แต่พระนางทรงมีหน้าที่ต่ออาณาจักรไดเวียด ที่จะต้องทำลายอาณาจักรจามปา พระนางจึงทรงแกล้งประชวรแล้วออดอ้อนกษัตริย์ให้ทรงทำลายไม้แก๊ะ (ไม้ยืนต้นพื้นเมืองชนิดหนึ่ง) สองต้นริมแม่น้ำดับด๊า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความเข้มแข็งของเมือง (อันทำให้กษัตริย์เวียดนามไม่สามารถโจมตีอาณาจักรจามปาได้) โดยพระนางทรงให้เหตุผลว่าจะทำให้พระนางหายประชวร กษัตริย์โปโลเม่ทรงหลงเชื่อจึงทรงตัดต้นไม้นั้น ในที่สุดพวกเวียดจึงยึดอาณาจักรจามปาได้ ณ บริเวณที่ต้นแก๊ะสองต้นเคยตั้งอยู่ต่อมาได้มีชาวจามทั้งบ่าลามน (ฮินดู) และบ่านิไปทำพิธีบูชาต้นแก๊ะ กลุ่มจามบ่าลามนเพิ่งจะเลิกทำพิธีนี้เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ส่วนกลุ่มจามบ่านิยังคงทำอยู่อย่างต่อเนื่อง
![]() |
![]() |
ปราสาทโปโลเม่ ภายในมีประดิษฐานพระศิวะ ชาวจามบ่าลามนจะมาทำการสักการะเป็นประจำ
กษัตริย์โปโลเม่ ทรงครองราชย์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ แต่จากหลักฐานโบราณคดีทำให้พบว่า ปราสาทโปโลเม่ หลังดังกล่าวนี้สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ สำหรับพระนางพันจิเมื่อกษัตริย์โปโลเม่ทรงสมรสใหม่ จึงทรงแยกที่ประทับออกมา ภายหลังจึงสร้างศาลไว้ต่างหากเคียงคู่กับองค์ปราสาทใหญ่ และเป็นที่นับถือของกลุ่มจามบานีมาก เพราะพระนางทรงนับถือศาสนาอิสลามแบบบานี
![]() |
![]() |
ศาลพระนางพันจิ ด้านข้างของปราสาทโปโลเม่ เป็นที่เคารพของจามคนบานี
ด้านหลังปราสาทมีหลุมศพของตายายคู่หนึ่งซึ่งไม่มีลูกหลาน จึงได้เอากระดูกหน้าผากมาฝังไว้จะได้อาศัยเครื่องเซ่นที่ถวายให้กษัตริย์โปโลเม่
ประเพณีพิธีกรรม
ประเพณีคาเต้ (Kate Festival)
เป็นประเพณีปีใหม่ของจามบ่าลามน (พราหมณ์-ฮินดู) กำหนดวันตามจันทรคติ ส่วนมากตกช่วงเดือนตุลาคม งานนี้จะมีการแห่เครื่องเซ่นและผ้าไปยังปราสาทโปโลเม่ มีตะกร้าใส่ผ้าสามชุด สองชุดถวายกษัตริย์โปโลเม่ในปราสาทหลังใหญ่ อีกชุดหนึ่งถวายพระนางพันจิ ในงานประเพณีทุกปีจะถวายไข่ กล้วย หมาก พลู เหล้า ส่วนเครื่องเซ่นจะเป็นแพะและไก่ ทางพระนางพันจิ จะถวาย ข้าว หมาก พลู และที่หลุมศพสองตายายจะถวายข้าวแกงและผลไม้
ประเพณีใน ๑ ปี
ทั้งพวกบ่าลามนและพวกบานีจะทำพิธีที่ปราสาทโปโลเม่ ๔ ครั้งใน ๑ ปี โดยพวกบ่าลามนจะเน้นทำพิธีที่ปราสาทประธานหรือปราสาทใหญ่ ส่วนพวกบานีจะทำพิธีที่ศาลพระนางพันจิ
วันเปิดและปิดปราสาท
ศาสนิกสามารถเข้าปราสาทได้ยกเว้น วันจันทร์ เพราะเชื่อว่าเป็นวันที่กษัตริย์โปโลเม่เสด็จไปสวรรค์ ส่วนวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ ชาวบ่าลามนถือว่าเป็นวันไม่ดีไม่ควรเปิดบ้าน เช่นเดียวกับบ้านคนทั่วไปที่ถือว่าต้องไม่ทำความสะอาดและไม่ทิ้งขยะ หากมีคนต่างถิ่นเดินทางไปปราสาทในวันต้องห้าม จะผ่อนปรนเพราะถือว่ามาจากแดนไกล แต่คนเฝ้าปราสาทจะต้องขอขมาโดยใช้ไข่ กล้วย หมากพลู และเหล้าขาว อย่างละ ๕ ชุด เป็นเครื่องเซ่น
ปราสาทโปลางกะราย (Poklongarai)
สร้างโดยกษัตริย์โปลางกะราย (ค.ศ.๑๑๕๑ – ๑๒๐๕) ซึ่งทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงสร้างระบบชลประทานท้องถิ่น อันเป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่งแก่ราษฎรจามในยุคนั้น (เชื่อกันว่ากษัตริย์โปลางกะจายเป็นพระบิดาของกษัตริย์โปโลเม่) ที่นี่จะมีปราสาทสามองค์ คือ ปราสาทประธาน ปราสาทหอไฟ (Fire Tower) และปราสาทประตู (Gate Tower) ที่ปราสาทประธานจะประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งในปัจจุบันยังคงมีพราหมณ์มาประกอบพิธีกรรมอยู่เสมอ
ปราสาทโปลางกะราย มีปราสาทสามองค์ (ประสาทพระประธาน ปราสาทหอไฟ และปราสาทประตู)
![]() |
![]() |
(ซ้าย) ปราสาทประตู (ขวา) ปราสาทไฟ
![]() |
![]() |
ปราสาทประธาน ภายในมีรูปปั้นกษัตริย์โปรางกาลายตั้งอยู่ ในทุกปีจะมีพิธีคาเต้ เพื่อให้ประชาชนได้มากราบสักการะ
พื้นที่ด้านล่างได้จัดอาคารแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประเพณี พิธีกรรมเกี่ยวกับปราสาท รวมทั้งเป็นศูนย์แสดงสินค้าของชาวจามและของที่ระลึกจากที่ต่างๆของเวียดนามอีกแห่งหนึ่ง
เก็บตก...เมืองฟานราง
ที่เมืองฟานราง มีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น มะกอก กล่าวคือ มะกอกมีมาก แต่ชาวบ้านไม่มีใครสนใจ จนเมื่อ ๒ ปีที่ผ่านมา ชาวฮอลันดานำพันธุ์มาให้ปลูกแล้วทำการรับซื้อ ชาวบ้านเห็นว่าเป็นพืชที่นำรายได้จึงหันกลับมาปลูกกันมาขึ้น ทั้งนี้ลูกมะกอกสามารถขายได้กิโลกรัมละ ๑.๕ หมื่น ดง ส่วนใบก็สามารถขายนำไปทำน้ำมันมะกอกปรุงอาหารได้
จากการลงพื้นที่สำรวจสามเหลี่ยมปากน้ำโขงครั้งนี้ทำให้เข้าใจในพื้นที่สามเหลี่ยมปากน้ำโขง ซึ่งมีสภาพเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง ต่อเนื่องจนถึงที่ราบลุ่มป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านและคลองซอยหลายสาขา จึงเกิดภูมิวัฒนธรรมแบบชาวเรือ ชาวนา ชาวสวน และชาวตลาดน้ำ และเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่จึงทำให้มีกลุ่มคนหลากหลายมาตั้งถิ่นฐาน ได้แก่คนจามซึ่งเป็นผู้คนกลุ่มดั้งเดิมของพื้นที่ คนเวียดซึ่งกลายเป็นประชากรกลุ่มหลัก รวมถึงคนเขมร และคนจีน ตลอดจนความหลากหลายทางศาสนาของกลุ่มคน ได้แก่ศาสนาฮินดู ศาสนาอิสลาม และศาสนาอิสลามแบบบานิของกลุ่มคนจาม ศาสนาพุทธมหายานและศาสนาคริสต์ของกลุ่มคนเวียด ศาสนาพุทธเถรวาทของกลุ่มคนเขมร รวมทั้งศาสนากาวด่ายที่ตั้งขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตามในขณะเดียวกันปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองสมัยใหม่ได้ทำให้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนในท้องถิ่นจำนวนหนึ่งได้ผันตัวไปอยู่ในระบบของสังคมเมือง หรือวิถีเกษตรในท้องถิ่นก็ต้องเริ่มเปลี่ยนวิถีเพื่อรับใช้ภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เช่นเดียวกับประเทศโลกที่สามโดยทั่วไป
ในขณะเดียวกันก็ได้ไปยังบริเวณที่ราบชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม ซึ่งมีภูมิประเทศแบบสันทรายsand dune เป็นระยะ พื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ดั้งเดิมอีกแห่งหนึ่งของกลุ่มชาติพันธุ์จาม และเคยเป็นอาณาเขตสำคัญของอาณาจักรจามปา เช่นที่ปรากฏปราสาทจามโบราณในภูมิภาคนี้ ดังนั้นจึงพบว่ามีพวกจามอาศัยอยู่อย่างหลากหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มบ่าลามน (ฮินดู) กลุ่มบานี (อิสลามแบบเก่าแก่ของชาวจาม) และกลุ่มมุสลิม
การศึกษาสำรวจในครั้งนี้เพื่อเรียนรู้และเข้าใจในวัฒนธรรม สังคม วิถีชีวิตของผู้คนในเวียดนามตอนล่าง ทั้งที่อยู่แถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง และชายฝั่งหาดทราย จึงได้เห็นในภาพรวมว่าคนในเวียดนามตอนล่างมีสภาพร่วมและสภาพต่างระหว่างกลุ่มคน เช่นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันแต่อยู่คนละพื้นที่ หรือคนในพื้นที่เดียวกันแต่คนละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งการมีจุดร่วมและจุดต่างนี้ คือความเป็นจริงร่วมกันของมนุษยชาติ และการทำความเข้าใจจุดร่วมและจุดต่างของคนกลุ่มอันหลากหลายนั้น นับว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำวามเข้าใจระหว่างเพื่อนมนุษย์ต่อไป
ขอขอบคุณ: คุณ ฮุน วัน ฟุค (Huynh Van Phuc) นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ล่ามและผู้นำสำรวจพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในครั้งนี้